วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สูตรลดความอ้วน

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 1

สูตรพระเทพ

วันที่ 1

เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน - ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น - สลัดผัก


วันที่ 2

เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน - ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น - โยเกิร์ต 1 ถ้วย


วันที่ 3

เช้า - กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน - เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
เย็น - สับปะรด 1 ชิ้น


วันที่ 4

เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน - สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น - โยเกิร์ต 1 ถ้วย


วันที่ 5

เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน - ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น - สลัดผัก


วันที่ 6

เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน - ปลานึ่ง หรือ ปลาเผาไม่จำกัด
เย็น - นมสด 1 แก้ว


วันที่ 7

เช้า - ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1 ฟอง
กลางวัน - เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
เย็น - สับปะรด 1 ชิ้น

************
สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 2

สูตรลดความอ้วน 9 กิโลกรัม ภายใน 2 อาทิตย์

วันที่ 1

เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล
กลางวัน... ไข่ต้มสองลูก+ผักต้ม
เย็น...สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้

วันที่ 2

เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล+ขนมปังโฮลวีตปิ้ง 1 แผ่น
กลางวัน... สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้+สลัดผักเขียวและผลไม้
เย็น...แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าไรก็ได้ตามใจ

วันที่ 3

เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล+ขนมปังโฮลวีตปิ้ง 2 แผ่น
กลางวัน...ไข่ต้ม 2ฟอง+สลัด+แครอท
เย็น...แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าไรก็ได้ตามใจ

วันที่ 4

เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล+ขนมปังโฮลวีตปิ้ง 1 แผ่น
กลางวัน..ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
เย็น...ผลไม้และโยเกริ์ตรสธรรมชาติ

วันที่ 5

เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล
กลางวัน...ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
เย็น...เต็กหรือเนื้อย่างไม่ติดมัน+สลัดผักสดน้ำใส

วันที่ 6

เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล
กลางวัน...ไก่ย่างไม่ติดหนัง
เย็น..ไข่ต้มสองฟองและแครอทต้ม

วันที่ 7

เช้า...กาแฟหรือชาบีบมะนาว ไม่ใส่น้ำตาล
กลางวัน...ผลไม้อะไรก้ได้ในปริมาณที่ต้องการ
เย็น..อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทานไม่จำกัดปริมาณ

เมื่อทานครบทั้ง 7 วันก็ให้เริ่มวันที่ 8 โดยย้อนกลับไปใหม่ ถ้าทำได้ตามสูตรเป๊ะ โดยไม่ดื่มน้ำอัดลม+แอลกอฮอลล์ จะลดความอ้วนได้ 9 กก.ใน 2 อาทิตย์ โดยไม่เกิดปฏิกิริยาโยโย่ ซึ่งพอหยุดแล้วอ้วนขึ้นมากกว่าเก่า

************

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

โรงเรียนราชินีบูรณะ

ประวัติโรงเรียนราชินีบูรณะ

ที่ตั้งปัจจุบัน ถนนหน้าพระ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมมีเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา ประวัติความเป็นมา พ.ศ. 2457เจ้าพระยาศรีวิชัย ต.สมุหเทศาภิบาล มณฑลนครชัยศรีได้ขอครูสตรีจากกระทรวงธรรมการ เพื่อจัดตั้งโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดขึ้นครูคนแรกของโรงเรียน คือ ครูไปล่ สายันตนะ โดยเช่าห้องแถวริมถนนซ้ายพระ ของพระคลังข้างที่ 2 ห้อง เป็นโรงเรียน เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2457 มีนักเรียนทั้งหมด 7 คน ต่อมาโรงเรียนถูกไฟไหม้ จึงย้ายมาตั้งใหม่ที่เรือนข้างที่พักกองเสือป่า(ใกล้ห้องสมุดประชาชน) มีนักเรียน 36 คน ต่อมาพระยามหาอำมาตย ์อุปราชภาคตะวันตก และสมุหเทศาภิบาลนครชัยศรีเห็นความจำเป็นจะต้องตั้งโรงเรียนถาวรขึ้น จึงมอบให้คุณหญิงทองอยู่ (ภรรยา) ซึ่งเป็นข้าหลวงคนสนิทของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินาถ เข้าเฝ้าขอพระราชทานเงินเพื่อสร้างโรงเรียนหญิงประจำมณฑลขึ้น โปรดเกล้าฯ พระราชานเงิน 25,000 บาท สร้างโรงเรียนราชินีบูรณะ ผู้ควบคุมการก่อสร้าง คือ พระพุธเกษตรานุรักษ์ พัศดีเรือนจำนครปฐม สร้าง ณ ที่ ถนนราชมรรคา ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม สร้างเสร็จเรียบร้อยและเปิดให้นักเรียนเข้าเรียนได้ เมื่อ วันที่ 30 พฤษภาคม 2461 เมื่อ วันที่ 10 มิถุนายน 2462 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ(พระพันปีหลวง) ได้พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ และโปรดเกล้าให้ กรมหมื่นพิทยาลาภพฤฒิยากร เป็นผู้แทนพระองค์มาเปิดโรงเรียน พร้อมกับ พระราชทานนามว่า "ราชินีบูรณะ" สภาพโรงเรียนเป็นตึก 2 ชั้น มีห้องเรียน 6 ห้อง เนื่องจากนักเรียนมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี ดังนั้น ใน พ.ศ.2477 พระยาพิพิธอำพลวิมลภักดี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม จึงได้ริเริ่มสร้างอาคารเรียนเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูงขึ้น เปิดใช้เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2478 ชื่อว่า "เรือนพิพิธอำพลบูรณะ" ต่อมา พ.ศ.2498 ได้ใช้เงินบำรุงการศึกษาต่อเติม ชั้นล่างขึ้นอีก 5 ห้อง รวมเป็น 10 ห้องเรียน พ.ศ. 2497 ได้ซื้อที่ดินเพิ่มด้านตะวันออก อีก 1 ไร่ 25 ตารางวา เป็นเงิน 45,000 บาท โดยได้รับพระราชทานเงินจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เป็นเงิน 3,500 บาท รวมกับเงินบริจาคของศิษย์ทุกรุ่น โรงเรียนจึงได้จัดสร้างอาคารเรียนเพิ่มขึ้น พ.ศ. 2499 ผู้ปกครองนักเรียนพร้อมใจกันบริจาคเงินต่อเติมโรงอาหาร ต่อมาได้สร้างอาคาร 2 ชั้น มีห้องเรียน 6 ห้อง ขึ้นใหม่ โดยได้รับบริจาคจากนางทิมและนางสาวละออง ประพันธสิริ เป็นเงิน 140,000 บาท สร้างอาคาร มีชื่อว่า "เรือน ทิม-ละออง ประพันธสิริ" ปัจจุบัน เรือน"ทิม-ละออง ประพันธสิริ" ทำการรื้อถอนเพื่อก่อสร้างอาคารใหม่ 4 ชั้น นอกจากนี้ นางทิมยังได้กรุณามอบพันธบัตร เป็นเงิน 100,000 บาท เพื่อจัดตั้งเป็นมูลนิธิเก็บดอกผลเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กยากจน ให้ชื่อว่า "มูลนิธิทิม-ละออง ประพันธสิริ อนุสรณ์" การพัฒนาโรงเรียนเป็นไปตามลำดับ แต่เนื่องจากคณะศรีพัชรินทร์ มีบริเวณคับแคบ ยากแก่การบริหารหลักสูตร ด้วยความสนับสนุนของสมาคมผู้ปกครอง ครูและศิษย์เก่าราชินีบูรณะ และผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม จึงตัดสินใจซื้อที่ดินเพิ่มอีก 4 ไร่ มูลค่ารวมค่าชดเชยบ้าน 22 หลัง เป็นเงิน 8 ล้าน 2 แสนบาท ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของผู้อำนวยการยุพิน ดุษิยามี โครงการซื้อที่ดินก็สำเร็จสมความมุ่งหวังของทุกคน และได้สร้างอาคารเอนกประสงค์ ขึ้น 1 หลัง

ความสามัคคี

พระราชดำรัสในหลวง เรื่อง ความสามัคคี



ภายหลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำการบุกสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงมีการบุกยึดสถานที่ราชการของกรุงเทพมหานคร การบุกยึดทำเนียบรัฐบาล และถนนสายหลักสำคัญอีกหลายแห่งนั้น ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไทย ณ เวลานี้วุ่นวายไปหมด


สำคัญสาเหตุสำคัญๆ ที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้คงเป็นเพราะคนในชาติเกิดความเห็นแยกแตก คิดเห็นแตกต่าง และที่สำคัญคือการขาดความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งผลของการขาดความสามัคคีของคนในชาตินี้ส่งผลกระทบต่อเมืองไทยแน่นอน


อย่างไรก็ตามวันนี้เราจึงขอยกตัวอย่าง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเน้นเรื่องความสามัคคีของคนในชาติ มุ่งให้คนไทยมีความรักใคร่กลมเกลียว สมัครสมานสามัคคี มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง คงความเป็นชาติไทยไว้ได้ ดังความตอนหนึ่งในพระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ทหารรักษาพระองค์ในพิธีตรวจพลสวนสนาม เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม 2512 ว่า

" . . . ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี คนไทยเราแต่ละคน รู้จักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ รู้จักปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องและเกื้อกูลกัน ผลการปฏิบัติของเรานั้นจึงเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถกำจัดและป้องกันภัยต่างๆ มิให้ทำอันตรายแก่เราได้ แม้จะมีศัตรูคิดร้าย บุกรุกคุกคามอย่างหนักหนาเพียงใด เราก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำ ขอให้ทุกคนสำนึกตระหนักว่า ความสมัครสมานสามัคคีของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะต้องรักษาไว้ให้ยั่งยืนอยู่ตลอดไป หากเรามีความประมาท เราแตกสามัคคีกันเมื่อใด เราก็จะเป็นอันตรายย่อยยับลงเมื่อนั้น ไม่มีใครอื่นที่ไหนจะช่วยเราได้นอกจาก ตัวเราเอง..."


และกระแสพระราชดำรัส ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2494 ดังความตอนหนึ่งว่า

" . . . ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดมาว่า ชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัสประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวก ถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ เป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิจ จึงขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณีกิจของตนแต่ละคน ด้วยซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้น เป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้"

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัด 2009

วิธีป้องกันและควบคุมไข้หวัด 2009

ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา และสถานประกอบการ ซึ่งอาจแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีอาการคล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล

สำหรับผู้ป่วยจำนวนไม่มากในต่างประเทศที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงมีครรภ์

คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป

1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ

2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น

3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด

4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น

6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่

1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ

2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น

3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม

4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม

5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์

คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา

1. แนะนำให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์

2. ตรวจสอบจำนวนนักเรียนที่ขาดเรียนในแต่ละวัน หากพบขาดเรียนผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในห้องเรียนเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค

3. แนะนำให้นักเรียนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน

4. หากสถานศึกษาสามารถให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทุกคนหยุดเรียนได้ ก็จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ดี และไม่จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา แต่หากจะพิจารณาปิดสถานศึกษา ควรหารือร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะเรียน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง

คำแนะนำสำหรับสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน

1. แนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้าน หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์

2. ตรวจสอบจำนวนพนักงานที่ขาดงานในแต่ละวัน หากพบขาดงานผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในแผนกเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค

3. แนะนำให้พนักงานที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน

4. ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่แนะนำให้ปิดสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน เพื่อการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่

5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะทำงาน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกทั่วไปเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตู หน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง

6. ควรจัดทำแผนการประคองกิจการในสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง หากเกิดการระบาดใหญ่

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"ไมเคิล แจ็คสัน"

"ไมเคิล แจ็คสัน" ราชาเพลงป็อปชื่อดัง ถูกนำส่งโรงพยาบาลยูซีแอลเอ ในนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐฯ หลังหัวใจหยุดเต้นกระทันหัน เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่แพทย์ในโรงพยาบาลลอสแองเจลิส จะแถลงยืนยันว่า ไมเคิล แจ็คสัน ได้เสียชีวิตลงเมื่อเวลา 14.26 น. ตามเวลาในท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาในประเทศไทย 02.26 น. ของเช้าวันศุกร์ ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน พร้อมยืนยันว่า ก่อนที่ราชาเพลงป็อปจะมาถึงโรงพยาบาลนั้น หัวใจได้หยุดเต้นไปแล้ว และแพทย์ได้พยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สำเร็จ

ด้าน ไบรอัน อ็อกแมน ทนายประจำครอบครัวของไมเคิล แจ็คสัน เปิดเผยว่า ครอบครัวของไมเคิลยังไม่ได้เปิดเผยว่า จะจัดการอย่างไรต่อไป เพราะทุกคนกำลังเสียใจอย่างมากกับการจากไปอย่างกะทันหันของไมเคิล แจ็คสัน ขณะที่แฟนเพลงจำนวนมากของไมเคิล แจ็คสัน เมื่อทราบข่าวต่างหลั่งไหลและทยอยมารวมตัวกันที่หน้าโรงพยาบาล เพื่อส่งกำลังใจให้เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางบรรยากาศที่โศกเศร้า

นอกจากนี้ ไบรอัน ยังเปิดเผยว่า ก่อนที่ไมเคิล แจ็คสัน จะเสียชีวิต ได้รับประทานยา เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกซ้อม ก่อนเปิดคอนเสิร์ตที่กรุงลอนดอนของอังกฤษในเดือนหน้า โดยไบรอัน ระบุว่า เขาเป็นห่วงมานานแล้วที่ไมเคิล แจ็คสัน รับประทานยาหลายขนาน





ส่วน ไมเคิล เลอวีน อดีตโฆษกส่วนตัวของไมเคิล แจ็คสัน บอกว่า เขาไม่รู้สึกแปลกใจกับข่าวการเสียชีวิตของแจ็คสัน เพราะแจ็คสันได้ใช้ชีวิตที่ทำร้ายตัวเองมาตลอดหลายปี ความสามารถของเขาเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสงสัย แต่เขาก็อึดอัดมากกับการอยู่ในสายตาของคนทั่วโลก และคนธรรมดาคนหนึ่งไม่อาจทนรับความเครียดอย่างยาวนานได้

ด้าน มาดอนน่า ราชินีเพลงป็อป เมื่อได้ทราบข่าวการจากไปของไมเคิล แจ็คสัน ถึงกับร่ำไห้เสียใจ และบอกว่าชื่นชมแจ็คสันมาโดยตลอด แม้โลกสูญเสียบุคคลที่ยิ่งใหญ่ แต่เสียงเพลงของเขาจะคงอยู่ไปตลอดกาล และขอส่งกำลังใจให้ลูกๆ ทั้ง 3 คน และครอบครัวแจ็คสันด้วย

ขณะที่พี่ชายเจอร์เมน แจ็คสัน เปิดเผยว่า คณะแพทย์พยายามช่วยชีวิตไมเคิล นานกว่า 1 ชั่วโมง แต่ก็ไม่สำเร็จ โดยน้องชายหมดสติตั้งแต่ถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ทั้งนี้ ทางครอบครัวอยากขอร้องสื่อ กรุณาให้ความเป็นส่วนตัวระหว่างช่วงเวลานี้ด้วย พร้อมทั้งขอให้พระอัลเลาะห์คุ้มครองไมเคิล

ส่วนเพื่อนสนิทของซุปเปอร์สตาร์ ยูริ เกิลล่าร์ กล่าวว่า เขารู้สึกเสียใจมากๆ เมื่อรู้ข่าว โดยเขารู้จักกับไมเคิล แจ็คสันมากว่า 35 ปี เมื่อใดที่ไมเคิลมีปัญหาเขาจะโทรมา และยังหวังว่า ประวัติศาสตร์จะจดจำและจารึกมากกว่าการเป็นข่าวแล้วเงียบหายไป

ล่าสุดตำรวจแอลเอพีดี เข้าไปสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของราชาเพลงป็อป โดยระบุว่าจะสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น)



ทั้งนี้ ไมเคิล แจ็คสัน อยู่ในระหว่างการเตรียมตัวกลับคืนเวทีคอนเสิร์ตอีกครั้ง ในรอบ 12 ปี ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 13 กรกฎาคม และมีโปรแกรมทัวร์คอนเสิร์ตไปต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคม ปี 2010 โดยตั๋วคอนเสิร์ตของไมเคิล ที่กรุงลอนดอนนั้น ได้เปิดขายเมื่อเดือนมีนาคม และจำหน่ายหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โดยมีกำหนดจะแสดงถึง 50 รอบ สำหรับไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) นั้น มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน (Michael Joseph Jackson)หรือเรียกย่อๆ ว่า เอ็มเจ (MJ) หรือ แจ็คโก้ (Jacko) เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2501 โดยเป็นนักร้องชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยท่าเต้น "มูน วอล์ค" และ "ลูบเป้า" อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนได้รับฉายาว่า ราชาเพลงป็อป หรือ King of Pop
ไมเคิล แจ็คสัน แต่งงานกับ "ลิซ่า มารี เพรสลีย์" ลูกสาวของราชาเพลงร็อค "เอลวิส เพรสลีย์" ก่อนจะเลิกรากันไปในปี พ.ศ.2539 โดยไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ภายหลังไมเคิล มีบุตร 2 คน จากการผสมเทียมกับ "เด็บบี โรวว์" พยาบาลสาวใหญ่ และมีเพิ่มอีก 1 คน จากสาวผู้ไม่เปิดเผยนาม ด้วยการผสมเทียมเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ไมเคิล แจ็คสัน ได้เคยมาเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2536 ซึ่งถือเป็นคอนเสิร์ตของนักร้องต่างประเทศครั้งแรกในเมืองไทย และได้รับความนิยมอย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ถึงความไม่เหมาะสมของท่าเต้น "ลูบเป้า"
นอกจากนี้ไมเคิล ยังมีข่าวคราวอื้อฉาวปรากฎอยู่บ่อยๆ ตามสื่อ ทั้งข่าวที่เขาชอบทำตัวแปลกๆ ใช้ชีวิตอย่างแปลกๆ รวมถึงข่าวการล่วงละเมิดทางเพศเด็กผู้ชาย ที่มีออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ โดยในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2548 ไมเคิลต้องขึ้นศาลฟังคำพิพากษาในคดีข่มขืนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งศาลก็พิพากษาให้รอด
พ้นคดีนั้นไป

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

GAT PAT คือ???

GAT PAT คืออะไร จะเตรียมตัวอย่างไรเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ปี 2553

เนื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) เพื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้สัดส่วนคะแนนดังนี้

1. ปี 2553 ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย
1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %
2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %
3) GAT 10-50 %
4) PAT 0-40 %
รวม 100 %


หมายเหตุ
1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้
2. GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป
3. PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ
2.รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT
1. เนื้อหา
- การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%
- การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%
2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
- คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง
- ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair
- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
- มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ
3. จัดสอบปีละหลายครั้ง
- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
3. รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT

1. PAT มี 6 ชุด คือ
PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์
เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ
ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills

PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์
เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ
ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ

PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์
เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ
ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability

PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ
ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ

PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์
เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ

PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์
เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ
ลักษณะข้อสอบ ความคิดสร้าง สรรค์ ฯลฯ

"อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องจากสมาคมฝรั่งเศสที่เสนอขอให้ ทปอ.จัดสอบเรื่องภาษาที่ 2 ด้วย ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการวัดคุณภาพของเด็ก โดยจะขอให้เพิ่มเป็น PAT 7 และย่อยลงไปเป็น 7.1 , 7.2 ตามลำดับ แต่ ทปอ.เสนอว่าให้ทางสมาคมจัดสอบล่วงหน้าก่อนได้และให้กำหนดในเงื่อนไขแอดมิชชั่นว่าผู้ที่จะสอบในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้จะต้องผ่านการสอนวัดความรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการมาเพิ่มเป็น PAT 7 สทศ.ก็ต้องมาทำการทบทวน PAT ทั้ง 6 ใหม่ ซึ่งก็จะยุ่งยากอีก"ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวและว่า สำหรับข้อสอบ PAT นั้นได้เชิญอาจารย์ทีเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาเป็นผู้ออกข้อสอบ โดย สทศ.จะอธิบายความต้องการ วัตถุประสงค์การออกให้ทราบ และเมื่ออาจารย์ออกข้อสอบเสร็จแล้วก้จะนำเข้าคลังข้อสอบในรอบแรกก่อนนำมาเข้ากระบวนการกลั่นกรองเพื่อเข้าคลังข้อสอบของ สทศ. ใหม่อีกครั้ง

2. ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
- คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง
- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
- มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ
3. จัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด

ขณะนี้ ทปอ.ได้มอบหมายให้ สทศ.เป็นผู้จัดสอบ GAT และ PAT ซึ่งในส่วนของ GAT มีการทดลองรูปแบบการสอบแล้ว โดยจะใช้การสอบทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 300 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสอบได้ 2-3 ครั้ง และเลือกคะแนนสอบครั้งที่ดีที่สุดไปใช้ โดยคะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี แต่เด็กต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสอบได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 หรืออาจต้นปี 2552 เพื่อให้ใช้ทันแอดมิชชั่นปี 2553
“สทศ.ต้องเตรียมเรื่องการออกข้อสอบ โดยได้ขอความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยออกข้อสอบให้ นอกจากนี้ สทศ. ยังจะจัดสอบ B-NET ซึ่งเป็นแบบทดสอบความรู้ 5 ภาคเรียนของ ม.ปลาย เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในการรับตรง ซึ่งการที่ สทศ. ต้องจัดสอบ B-NET เพราะไม่ต้องการให้เด็กวิ่งรอกสอบหลายที่”

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คำคมชีวิต

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน " มรดกที่แข็งแกร่ง ทำให้คุณสามารถยืนหยัดเพื่ออนาคต " ผมเฝ้าเตือนตัวเองวันละหลายร้อยครั้งว่า ชีวิตทั้งภายในและภายนอกของผมต้องพึ่งพาแรงงานของคนอื่น ทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ดังนั้นผมจึงทุ่มเทตนเองเพื่อให้ได้ในสิ่งเดียวกับที่ผมได้รับ

จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอร์ " หากคุณพูดว่า...คุณไม่เคยมีโอกาสเลย บางทีอาจเป็นไปได้ว่า...คุณไม่เคยฉกฉวยโอกาสเลยก็เป็นได้ " คนบางคนมองสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นและพูดว่า " ทำไม? " แต่ผมกลับฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยมี และพูดว่า " ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? "

ปีเตอร์ ดรักเกอร์ "โชคเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของความมุ่งมั่นเท่านั้น " เมื่อใดก็ตามที่คุณได้เห็นธุรกิจหนึ่งประสบความสำเร็จ นั่นแสดงว่ามีใครบางคนได้กระทำการตัดสินใจที่กล้าหาญแล้ว

เฮนรี่ วัดสเวิร์ธ ลองเฟลโลว์, คาวานัก 1849 " ผู้ที่ชอบปฎิเสธความฝัน ไม่มีทางสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ "เราตัดสินตัวเราจากความรู้สึกที่ว่า เราสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้แต่คนอื่นตัดสินเรา จากสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้ว

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ " ทำตามความฝันและดวงตาที่เปิดกว้าง " คุณค่าสูงสุดของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่ ณ.จุดที่เขายืนอยู่ในช่วงที่เขาสะดวกสบายแต่อย่างใด หากแต่อยู่จุดที่เขายืน ณ.ช่วงเวลาแห่งความท้าทาย และ ขัดแย้ง

เกอเต้ " ตึกร้อยชั้นยังต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่ง " อะไรก็ตามที่คุณทำได้หรือใฝ่ฝันว่าทำได้... ก็จงเริ่มทันทีเพราะความกล้าหาญก็มีความเป็นอัจฉริยภาพ พลัง และ อำนาจอยู่ในตัวของมันเอง

ทีโอดอร์ รูสต์เวลด์
" อย่ากลัวคนที่เฉลียวฉลาดกว่าคุณ "
" อย่ากลัวความเปิดเผยตรงไปตรงมา "
" อย่ารู้สึกถูกคุกคามโดยกระบวนการทำงาน "
ผู้บริหารที่ดีที่สุดคือคนที่มีสำนึกพอที่จะเลือกสรรบุรุษ(หรือสตรี)ที่มีความเหมาะสม ให้มารับผิดชอบในสิ่งที่เขาต้องการทำให้สำเร็จ และมีความยับยั้งชั่งใจพอที่จะไม่เข้าไปวุ่นวาย กับคนเหล่านี้ในระหว่างที่พวกเขากำลังปฎิบัติหน้าที่กัน

โทมัส เจ วัตสัน จูเนียร์ "จงยึดมั่นในหลักการของตน และมีความยืดหยุ่น " สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียวในองค์กรที่ใครจะล่วงละเมิดมิได้ ควรจะเป็นปรัชญาพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจนั้นเท่านั้น

ทอม ปีเตอร์ส
" ปรุงแต่งจิตวิญญาณ แห่งการเป็นเจ้าของกิจการ " ความแตกต่างระหว่างการมีผลงานอันยิ่งใหญ่และผลงานระดับปานกลาง หรือระดับแย่อยู่ที่การมีจินตนาการและความปรารถนาที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่เป็นประจำ

โรซาเบธ มอส แคนเตอร์ " หมั่นปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ แม้ว่าคุณจะทำได้ดีแล้วก็ตาม "การที่จะนำหน้าผู้อื่นอยู่ตลอดเวลานั้นคุณจำเป็นต้องมีความคิดใหม่ๆรออยู่เสมอ

อับราฮัม ลินคอร์น " การปรับปรุงแก้ไข จำเป็นต้องอาศัยโลกทัศน์ที่ใหม่ตลอดเวลา" ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมนุษย์จะถูกทดสอบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วน ที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อนด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็น

เฮเลนส์ เคลเล่อร์" ความมั่นคงไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติ " ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความมั่นคง การหลบเลี่ยงภัยก็มิได้ทำให้ปลอดภัยมากไปกว่าการเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆโดยตรง ชีวิตหมายถึงการผจญภัยอย่างหาญกล้า หรืออาจไม่มีความหมายใดเลยก็ได้

อีเอฟ ชูมาเกอร์
" ใหญ่แค่ไหนก็ทำตัวให้เล็กได้เสมอ "ภารกิจขั้นพื้นฐานก็คือทำตัวให้เล็กเข้าไว้ แม้จะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ก็ตามอยู่ได้ทุกหนแห่งโดยไม่เสียเอกลักษณ์ของตน

โจ จาวอร์สกี้ " อย่าปล่อยให้ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้คุณหลงลืมเป้าหมายระยะยาว " ใช้ใจของคุณเป็นเครื่งนำทางความเป็นผู้นำคือการค้นพบจุดหมายปลายทางและมีความกล้าหาญที่จะเดินไปสู่เป้าประสงค์ที่สูงส่ง

กลอน-คำคม

เคยคิดอยู่เหมือนกัน...
ว่าทุกวันนี้ฉันต่อสู้เพื่อใคร
เพื่อตัวฉันเองใช้ไหม?
หรือเพื่อลมหายใจที่เฝ้ารอ..
สรุปแล้วก็คงเป็นทุกๆ อย่าง
ก็มีบ้างที่แนท้อ
กับอุปสรรค์มากมาย...ที่เฝ้ารอ
เพราะอะไรคงไม่สำคัญเท่า...
กับการที่เราต้องต่อสู้เพื่อความฝัน
เพื่อทำให้มันเป็นจริงให้ได้...
เพื่อเรา...
เพื่อใคร...บางคนข้างหลังที่คอยชื่นชม
-----------------


*1 นาทีที่คุณโกรธ...เท่ากับคุณได้สูญเสีย 60 วินาที แห่งความสงบในจิตใจไปแล้ว

*หัวเราะ....เมื่ออยากหัวเราะ ร้องไห้....เมื่ออยากร้องไห้ และต้องหัวเราะให้ได้...หลังร้องไห้ทุกครั้ง

*เด็กๆ จะมองว่าผู้ใหญ่ซีเรียส ในขณะที่ผู้ใหญ่จะบอกว่า เด็กไร้สาระ เพราะเด็กไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน วันหนึ่งเค้าคงจะรู้ว่า ทำไมถึงต้องมีเรื่องซีเรียส สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งได้ผ่านวัยเด็กมาแล้วอาจจะลืมไปว่า ณ วันที่ผ่านมา" สาระ " ในชีวิตของเค้า คืออะไร

*Honesty is a double-edged sword. It can help and hurt you.
ความจริงใจเป็นดาบสองคม มันช่วยคุณได้แต่ก็อาจทำให้รู้สึกเสียใจได้เหมือนกัน

*การเห็นคือการเชื่อ แต่บางครั้งสิ่งที่เป็นจริงที่สุด คือ สิ่งที่เรามองไม่เห็น

*การมองโลกในแง่ดีเสมอ คือสิ่งท้าทายของชีวิต

*เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน โดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด

*คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ

*ร่างกายนั้นมีพื้นที่มากกว่าหัวใจ เมื่อเกิดแผลก็มักจะเกิดในที่ต่างๆกันไป แต่หัวใจนั้น ยามใดที่มีบาดแผล ความเจ็บปวดนั้นก็ถูกกระทำในจุดเดิมซ้ำๆกัน

*ดูเหมือนจะไม่มีหนทางเบื้องหน้า แต่ยังคงมีความหวังที่หัวมุม

คติชีวิต

คติชีวิต - ชีวิตมิใช่สูตรสำเร็จ

ชีวิตมิใช่สูตรสำเร็จ การดำเนินชีวิตจึงต้องพิจารณาให้เหมาะสมแก่ตนจึงจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นสงบสุข ได้พบกับความเย็นของชีวิต ไม่ถูกเผาลนด้วยแรงผลักดันภายในก็คือความทะยานอยากอันไม่มีขอบเขตจำกัดของตน ความอยากวิ่งออกหน้าอยู่เสมอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ทัน เหมือนคนวิ่งไล่ตะครุบเงาของตนเอง แรงผลักดันภายนอกก็คือสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยวนให้เกิดความอยาก สิ่งแวดล้อมที่สำคัญก็คือเพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว และเสียงของเขาเหล่านั้นที่กระตุ้นเร้าให้ทะยานโลดแล่นออกไปอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อนผ่อนพัก เป็นชีวิตที่แสนจะเหนื่อยและทนทุกข์ทรมาน ทำให้นึกเทียบเรากับเขา เขากับเราอยู่ตลอดเวลาแล้วแข่งขันกันแสวงหาเพื่อให้เท่าเทียมเขาหรือเหนือเขา ซึ่งดูเหมือนว่า ยอดเขายอดนี้ช่างสูงลิบลับเสียดฟ้าเสียจริงๆ เมื่อไรจึงจะเหนือเขาคือคนทุกคนได้ เมื่อรู้สึกว่าสู้เขาไม่ได้ ก็ไม่สบายใจเกิดปมด้อย เมื่อรู้สึกว่าเหนือเขาก็ทะนงตนเองเกิดเป็นปมเขื่อง ซึ่งล้วนแต่ไม่ดีทั้งสิ้น และไม่เป็นทางแห่งความสงบใจ

คติชีวิต - วาจานุ่มนวล ชนะความแข็งกร้าว

ก้อนหินที่แข็งและแหลมคม เมื่อเราเอาผ้านุ่มๆ วางทับลงไปแล้ว สามารถนั่งหรือวางเท้าได้สบายและรู้สึกเหมือนว่าก้อนหินนั้นนุ่ม
วาจาที่แข็งกร้าวของผู้อื่น มีบ่อยครั้งที่เราสามารถเอาชนะได้ด้วยวาจาที่นุ่มนวลของเรา ถ้าใช้เมตตาซึ่งเป็นเสมือนผ้านุ่มวางทับลงไปก่อน ก็อาจพูดให้เขาเชื่อฟังได้โดยง่าย เราจะได้ทั้งไมตรีและความเคารพเลื่อมใสจากเขา ลองฝึกดูเถิดจะเห็นเอง

คติชีวิต - ครูที่ดีที่สุด

เหตุการณ์ในชีวิตเป็นครูที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะหาได้ เป็นบทเรียนที่มนุษย์ต้องจำ จำโดยไม่ต้องท่องเลยแม้แต่น้อย บทเรียนจากตำราเป็นเรื่องที่จะต้องท่องจึงจะจำได้ และเมื่อจำได้แล้ว เราก็ต้องพยายามทบทวนเพื่อไม่ให้ลืม แต่บทเรียนจากชีวิตเป็นเรื่องที่เราจำโดยไม่ต้องท่อง และพยายามจะให้ลืมเสีย แต่น้อยนักที่เราลืมได้ นี่คือลักษณาการแห่งบทเรียนจากชีวิต คำสั่งสอนของท่านผู้ใหญ่ส่วนมากหรือแทบทั้งหมดทีเดียว ได้มาจากบทเรียนแห่งชีวิตทั้งสิ้น จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตอย่างหาประมาณมิได้

คติชีวิต - ความสามัคคี

ความกลมเกลียวสามัคคีเป็นความผาสุก เป็นความร่มเย็นอย่างยิ่ง บ้านใดมีความสามัคคี แม้จะลำบากยากจน แต่ก็ยังหาความผาสุกได้มากกว่าบ้านที่มั่งคั่งร่ำรวยแต่แตกสามัคคีกัน มองกันไม่สนิท คอยระแวงกันและกัน ความสามัคคีเป็นคุณธรรมที่ประเสริฐสำหรับหมู่คณะ หมู่คณะที่มีความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้น จะทำลายอุปสรรคกีดขวางความก้าวหน้าได้อย่างดี และสามารถบุกบั่นไปสู่ความสำเร็จได้โดยง่าย

คติชีวิต - การพูดจา

การพูดจาเกี่ยวกับคนก็ต้องอาศัยความพอดีเหมือนกัน พูดน้อยเกินไปก็ไม่สำเร็จประโยชน์ที่ต้องการ พูดมากเกินไปก็เป็นที่รำคาญของคนทั้งหลายเพราะไม่ยอมหยุดพูดแม้หมดเรื่องที่จะพูดแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายที่พูดน้อยเกินไป แม้มีเรื่องที่สมควรจะพูดก็ไม่พูด เพราะฉะนั้น ความพอดีในการพูดก็คือ พูดเมื่อจำเป็นต้องพูดและพูดแต่พอประมาณ หยุดพูดเมื่อหมดเรื่องที่จะพูดแล้ว

คติชีวิต - ความสำเร็จเริ่มจากการเลือกทำสิ่งที่ชอบ

เมื่อมีสิ่งให้เลือก คนเราส่วนมากจะเลือกสิ่งที่ตัวขาดหรือยังบกพร่องอยู่ เราอาจทำนายได้ว่าเขาขาดอะไรจากสิ่งที่เขาเลือก หรือมิฉะนั้นเขาก็เห็นความสำคัญของสิ่งนั้น คือเขาขาดไม่ได้ แต่เห็นความสำคัญของสิ่งนั้นจึงเลือก ความสำเร็จที่สำคัญยิ่งใหญ่ของคนสำคัญนั้น อยู่ที่การเลือกทำสิ่งที่เขาชอบ และเห็นว่าสำคัญต่อตนเองและมนุษยชาติด้วย

คนดีกับความรัก

เธอที่รัก การเป็นคนดี เป็นเรื่องของความสามารถที่จะทำความดีให้แก่ตนเอง และประจักษ์แจ้งแก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้น
การเป็น "คนดี" จึงเป็น "งาน" ที่ท้อแท้ไม่ได้ ความท้อแท้มักจะเกิดขึ้นมาจากความอ่อนแอ มาจากการถูกบั่นทอนพลังทางจิตใจ ที่จะมุมานะพยายาม เพื่อปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม

การเป็นคนดีนั้น จึงมีสองด้าน ด้านหนึ่ง เป็นคนดีเพื่อตัวเอง และได้กับตัวเอง อีกด้านหนึ่ง เป็นคนดีเพื่อคนอื่น ในคติของชาวตะวันออกนั้น การเป็นคนดี หรือการทำความดีให้กับตัวเองเพื่อตนเองนั้น มีความสำคัญมากเป็นอันดับแรกสุด

เพราะมีแต่บุคคลที่ถึงพร้อมซึ่งการทำความดี หรือได้มาซึ่งความสามารถที่จะทำความดีให้มีขึ้นกับตัวเองแล้วในระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถส่งผลสะเทือนในวงกว้างต่อผู้อื่น ต่อสังคมภายนอก และต่อมนุษยชาติ ไม่เฉพาะแต่ในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น ยังรวมไปถึงอนาคตสมัยอีกด้วย

ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง การทำความดีหรือการเป็นคนดี จึงไม่อาจขาดได้ซึ่งคุณธรรมประจำตนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความถ่อมตน ความกล้าหาญ ความเป็นผู้มีศรัทธา ความเป็นผู้มีวินัยในตนเอง ความเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็ง ความเป็นผู้ทระนงเชื่อมั่นในตัวเอง ความเยือกเย็น ความตรงไปตรงมา ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น เหล่านี้เป็นต้น

การทำความดี หรือการเป็นคนดี ด้วยการสร้างคุณธรรมประจำตนหลายประการ ดังที่ยกมาข้างต้นนี้ ตามคติของชาวตะวันออกนั้นเรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อการสร้าง "บารมี" ซึ่งถ้าหากสะสมไว้มากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จะทำให้ผู้นั้นสามารถประสบความสำเร็จทางบุคลิกภาพในระดับที่สูงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องกันไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นได้ในที่สุด

ถ้าพิจารณาจาก จุดยืนอย่างตะวันออกเช่นนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าคนเราจะเลิกทำความดีไม่ได้เลย! คนเราจะท้อแท้ในการทำความดีไม่ได้และคนเราจะนิ่งดูดายปล่อยให้ความดีถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เพราะถ้าทำเช่นนั้นแล้ว ผลแห่งอกุศลกรรมจากการทอดทิ้งความดีเช่นนั้นในที่สุด ก็จะย้อนกลับมาสู่ตนเองในที่สุด ในรูปกรรมแบบใดแบบหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ไม่ในภพนี้ก็ภพหน้า

แต่เหตุไฉน "คนดี" จึงมักถูกรังแก ทำให้เกิดความท้อแท้ขึ้นภายในจิตใจของผู้คนเล่า?ใช่ เป็นเพราะว่า สังคมนี้ขาดแคลน "ความรัก" กันหรือไม่?ใช่ เป็นเพราะว่า สังคมสมัยนี้ขาดความเชื่อมั่น ขาดความศรัทธาใน "พลังแห่งความรัก" กันหรือไม่?

ในวิถีแห่งชีวิตที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเดินกันไปนั้นเรายังไม่เห็นเลยว่า จะมีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่า "ความรัก" !

ความรักเป็นสายใยที่เชื่อมร้อยคุณธรรมต่าง ๆ ในตัวมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ "คน" กับ "ฟ้า" สามารถผนึกหลอมรวมตัวเป็นสิ่งเดียวกันได้

จาก ฟ้า ไปสู่ ความรัก ไปสู่ ความกล้าหาญ ไปสู่ ปัญญาญาณ ไปสู่ ความดี ไปสู่ ความอ่อนโยน ไปสู่ ความงาม ไปสู่ ความปรองดอง ไปสู่ ความเมตตากรุณา ไปสู่ สัจธรรมความจริงใจ ไปสู่ความไร้อัตตา ไปสู่ สุญตา หรือ ความว่าง

ตะวันออกกับตะวันตก มาเชื่อมกันได้ด้วย "ความรัก" ความไม่มีอะไรกับความมีอะไร มาเชื่อมกันได้ก็ด้วย "ความรัก" ผู้ลดแสงกับผู้เพิ่มแสง มาเชื่อมกันได้ด้วย "ความรัก" สิ่งใหม่กับสิ่งเก่า ก็มาเชื่อมกันได้ด้วย "ความรัก"

ความรัก เป็นสิ่งที่มีพลัง ก็เพราะความรักเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมหลอมรวมสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามของความขัดแย้งได้ด้วย
เหตุนี้ความรักที่แท้จริงจึงไม่มีการแย่งชิง ความรักที่แท้จริง ย่อมไม่มีศัตรู
ความรัก คือรถศึกที่เป็นพาหนะพาเราฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตทั้งปวง
ความรัก คือแสงสว่างที่ส่องทางหัวใจของผู้คน ขับไล่ความมืดมิดให้ออกไปจากจิตใจ นำพาเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

ความรัก คือชีวิต เป็นอาหารสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตให้สมบูรณ์
ความรัก คือความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้กับความยากลำบากต่าง ๆ ทั้งปวง
ความรัก คือการตั้งปณิธานว่าจะใช้ชีวิตร่วมกัน ก้าวไปพร้อม ๆ กันในสังคมเดียวกันอย่างสันติ
ความรัก คือวาจา คำพูด ภาษาที่ส่อให้เห็นถึงความงดงามภายในจิตใจของพวกเรา
ความรัก คือความปรองดอง การให้อภัยแก่กันและกัน เพื่อร่วมกันสร้างโลกใหม่ที่น่าอยู่กว่าเก่า

และ ความรัก คือการเจริญภาวนา เพื่อเพิ่มพลังแห่งความรักเพื่อยกระดับจิตวิญญาณของตัวเองให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ... คนเราทุกคนล้วนมีความสามารถที่จะรักได้ทั้งนั้น

นิเทศศาสตร์

นิเทศศาสตร์

คุณเคยจินตนาการว่าได้สัมภาษณ์นักการเมือง หรือเป็นผู้ประกาศข่าวหรือเหตุการณ์ทันปัจจุบันของประเทศหรือไม่? หรือบางทีคุณอาจต้องการที่จะเขียนบทความแถลงข่าว หรือเป็นผู้จัดงานและกิจกรรม หรือแม้แต่การเขียนต้นฉบับต่างๆ ปริญญาในสาขานิเทศศาสตร์สามารถช่วยคุณให้บรรลุเป้าหมายได้
นิเทศศาสตร์ครอบคลุมกลุ่มอาชีพมากมาย เช่น:
*วารสารศาสตร์ และการกระจายเสียง (Journalism and Broadcasting)
*การจัดพิมพ์ และการเป็นบรรณาธิการ (Publishing and Editing)
*การเขียนบทความเชิงสร้างสรรค์ และนักเขียนมืออาชีพ (Creative and Professional Writing)
*ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ (Cinema and Screen)
*การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ (Advertising and Public Relations) และ
สื่อดิจิตอล (Digital Media)

นิเทศศาสตร์เป็นหนึ่งในสาขาวิชาที่น่าดึงดูดใจและเป็นที่ต้องการที่สุดของบรรดานักศึกษาก็เพราะเหตุผลที่ว่า วิชานี้เป็นความท้าทายและมีความน่าสนุกเป็นอย่างยิ่ง

การเรียนรู้ที่นำไปใช้งานได้จริงสำหรับอนาคตของคุณ

การเรียนรู้ที่นำไปใช้งานได้จริงโดยใช้เครื่องมือชั้นยอดเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการศึกษาสาชานิเทศศาสตร์ในออสเตรเลีย คุณจะพบว่ามีศิลปินในด้านดิจิตอลผลิตภาพเคลื่อนไหวจำลอง (Animation) และสเปเชี่ยลเอฟเฟค (Special Effects) ต่างๆ อยู่ห้องติดกับนักศึกษาวารสารศาสตร์ที่กำลังทำการออกอากาศจากสถานีวิทยุในวิทยาเขต ผู้สร้างภาพยนตร์ที่กังวลเกี่ยวกับการแสดงผลงานชิ้นใหม่ของเขา หรือแม้แต่นักโฆษณารุ่นน้องที่กำลังหากความคิดในบริษัทโฆษณาจำลอง

บัณฑิตที่พร้อมสำหรับอาชีพ

ไม่ว่าคุณจะเลือกศึกษาในสถาบัน VET หรือมหาวิทยาลัย คุณจะได้รับความรู้และทักษะอันยอดเยี่ยมของภาคปฏิบัติการในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในปัจจุบัน คุณภาพของผู้ที่สำเร็จการศึกษาสาขานิเทศศาสตร์จากออสเตรเลียนั้น เป็นที่ยอมรับจากวงการการสื่อสาร และจะสามารถสร้างความสำเร็จในอาชีพได้ในทุกที่ของโลก
คุณสามารถศึกษาสาขานิเทศศาสตร์ในระดับใดก็ได้ ตั้งแต่ประกาศนียบัตรระดับ 4 จากสถาบัน VET จนถึงระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัย ทุกหลักสูตรจะให้ความรู้ที่ผสมผสานทั้งทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติซึ่งจะให้พื้นฐานที่มั่นคงแก่การประกอบอาชีพของคุณ
บางหลักสูตรจะเป็นการศึกษานิเทศศาสตร์ในระดับที่กว้างขึ้น โดยรวมเอาสาขาวิชาด้านศิลปศาสตร์ เช่น ประวัติศาสตร์ (History) หรือผลงานประพันธ์ (Literature) เข้าไว้กับการศึกษาด้านสื่อ และการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ หลักสูตรอื่นๆ อาจจะเหมาะสมกับคุณหากคุณมีความสนใจในการเรียนรู้ด้าน ‘ข้อมูล’ มากกว่า ‘วิธีการ’ เช่นหลักสูตรการศึกษาด้านสื่อ
ด้วยปริญญาสาขานิเทศศาสตร์ อนาคตของคุณจะถูกจำกัดแค่เพียงจินตนาการของคุณ ใช้เครื่องมือค้นหาของเราเพื่อการค้นหารายชื่อของสถาบันในออสเตรเลียที่เปิดสอนหลักสูตรในสาขานี้

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนแพ้ไม่ใช่...คนล้มเหลว





























เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว


แต่คนเเพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว


คนที่ล้มเหลวคือ..คนที่ล้มเลิกต่างหาก