วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )



สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน

สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว
การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์นั้นทำสืบเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี จากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้นแต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงเงาของอีตาลอันรุ่นโรจน์ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนคริสต์กาล (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ตามชื่อจอห์น ออบรีย์ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจุบันหลุมดังกล่าวลาดทับด้วยปูบซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่าหินฮีล (Heel Stone) ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม
วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่างวงหลุมออบรีย์ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z อาจมีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ ในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) 80 ก้อนจากแคว้นเวลส์มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันแต่ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แท่ง ที่เรียว่าหินซาร์เซน(sarsen) มาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสี่น้ำเงิน


สองวงวงเดิมภายในวงหินทรายมีหมู่ หินเรียงเป็นรูปกึ่ง ๆ รูปเกือกม้าอีกสองหมู่หมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม(Trilithon คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหินสามแท่ง สองแท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19แท่งสถาปัตยกรรมนี้เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งเมื่อคิดดูว่าเครื่องมือขุดดินที่ผู้สร้างในยุคหินใหม่ใช้เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น ชาวแซกซันเป็นผู้ขนาดนามวงหินเหล่านี้ว่า สโตนเฮนจ์ซึ่งเแปลตรงตัวว่า หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) ส่วนบันทึกจากสมัยกลางตั้งชื่อวงหินนี้อย่างไพเราะว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance)
แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร มีการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานา เช่น อินิโก โจนส์ สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19ยืนยันว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ ความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู กระทั่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เราเริ่มได้ข้อเท็จจริงบ้าง นักโบราณคดี สามารถคำนวณหาอายุ และสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น


แต่ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก หินซาร์เซนที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำหใแท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า สโตนเฮนจ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ โดยพิจารณาจากหลักฐานว่านอกเหนือจากสโตนเฮนจ์แล้ว มีการสร้างสุสานมูนดินในหลุมออบรีย์หลายหลุม แต่ก็มีหลักฐานหักล้างว่าหลุมดังกล่าวขุดขึ้นนานก่อนที่จะมีการเผาศพในบริเวณนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่าหลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีไหว้ด้วยสุรา เช่น ชาวนาอาจเทเหล้าองุ่นลงในหลุมเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเปห่งธรรมชาติทั้งหลาย
วงหินสโตนเฮนจ์ก็อาจจะเป็นวิหารสำหรับทำพิธีบวงสรวงดังกล่าว ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งได้อ้างว่าสามารถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับเสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งออีตของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์

ตำนาน เฮอร์คิวลิส วีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในเทวตำนานกรีก( Berserker )


เฮอร์คิวลิส
ชื่อคลาส : เบอร์เซิร์คเกอร์ (Berseker)
ชื่อจริง : เฮอร์คิวลิส (Hercules อ่านแบบภาษาละติน) หรือ เฮอราเคลส (Herakles , Heracles อ่านแบบภาษากรีก)
ฉายา : วีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในเทวตำนานกรีก
ที่มา : เทวตำนานกรีก
ตำนาน : เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่เทพซุส (Zeus) ซึ่งมักจะไปมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ธรรมดาจำนวนมาก โดยครั้งหนึ่งเทพซุสได้ไปมีสัมพันธ์กับหญิงสาวนางหนึ่งที่ชื่อว่าอัลค์เมนี (Alcmene) โดยซุสได้ปลอมตัวเป็นสามีของหล่อนและมีความสัมพันธ์กับหล่อน ก่อนที่ตัวจริงจะกลับมาถึงในคืนนั้นเช่นกัน และด้วยเหตุนี้นี่เองนางอัลค์เมเน่จึงให้กำเนิดลูกฝาแฝดสองคนในภายหลัง คนหนึ่งนั้นถูกตั้งชื่อว่า Iphicles และเป็นมนุษย์ธรรมดา ส่วนอีกคนนั้นถูกตั้งชื่อที่มีความหมายว่า "เกียรติยศแห่งเทพเฮร่า (Hera)" แต่น่าเสียดายที่ความเป็นจริงนั้นเทพเฮร่าจงเกลียดจงชังเด็กคนนี้อย่างมาก เพราะเด็กคนนั้นคือเด็กที่ซุสให้กำเนิดขึ้นมาครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ เฮอร์คิวลิส

เมื่อเฮอร์คิวลิสเกิดมาได้ไม่ได้นานนักเฮร่าก็ส่งงูพิษสองตัวเข้าไปยังเปลนอนของเฮอร์คิวลิส หมายจะฆ่าลูกของชู้รักให้ตาย แต่ผลออกมาตรงกันข้ามเมื่อเด็กน้อยนั้นได้บีบงูพิษทั้งสองตัวอยู่ในมือแต่ละข้าง และเหวี่ยงร่างกายอันไร้ชีวิตนั้นราวกับมันเป็นของเล่นเด็ก จากจุดนี้ทำให้ทุกคน ณ ที่แห่งนั้นทราบทันทีว่าเด็กน้อยคนนี้ จะเติบโตไปเป็นคนสำคัญเป็นแน่
เมื่อเติบโตขึ้นมาเฮอร์คิวลิสเองก็ได้รับการศึกษาตามค่านิยมของคนสมัยนั้น แน่นอนว่าวิชาที่เขาถนัดนั้นก็คือวิชาเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งหลายนั่นเอง และฝีมือของเขาก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันเมื่อเขาฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่า และได้ยกทัพไปจัดการกับกองทัพ Minyan และจากการเอาชนะข้าศึกได้ กษัตริย์แห่งเมืองธีเบส จึงได้ยกลูกสาว เมการ่า (Megara) ให้เป็นคู่ครอง ซึ่งทั้งคู่ก็ครองรักกันและมีลูกด้วยกันสามคน
ดูเหมือนว่าทุกคนจะยินดีกับการแต่งงานและการป้องกันเอกราชของเฮอร์คิวลิส เว้นแต่เพียงเทพีเฮร่าที่ยังคงแค้นเคืองเขาและได้ทำการส่งความบ้าคลั่งให้ไปเข้าสิงเฮอร์คิวลิส ผลก็คือเขาได้ทำการฆ่าทั้งภรรยาและลูกๆของเขา หลังจากได้สติ(บางตำนานว่าเขาได้สติเอง แต่บางเจ้าก็ว่าเทพีอาเธน่าเป็นคนปาหินใส่เขาจนได้สติ) เฮอร์คิวลิสก็ตกอยู่ในความเศร้าระทมอย่างมากและเกือบจะได้ทำการฆ่าตัวตายไป แต่ด้วยการห้ามปรามของเพื่อนของเขา(ซึ่งแต่ละตำราก็ว่ากันไปคนละคนละนะครับ) แต่เขาก็ยังทนอยู่ในเมืองธีเบสต่อไม่ได้และได้เนรเทศตัวเอง ก่อนที่จะออกเดินทางไปเจอกับ Oracle ผู้ทำนายที่เป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับเทพ โดย Oracle ได้แนะนำเขาให้ไปรับใช้กับกษัตริย์ที่ชื่อ ยูริสเทียส (Eurystheus) ผู้ซึ่งเป็นญาติห่างๆของเฮอร์คิวลิส และเป็นผู้มีจิตใจหยาบช้า โดยเขาได้สั่งให้เฮอร์คิวลิสที่มาถวายตัวรับใช้ให้ไปทำงาน 10 อย่าง แต่ยูริสเทียสนั้นได้บังคับให้เขาทำงานทั้งหมดสิบสองอย่างแทน(ส่วนนึงเพราะเทพีเฮร่าคอยยุยงให้ยูริสเทียสด้วยนั่นเอง งานที่มอบไปนั้นจึงเหมือนกับการส่งให้ไปตายทั้งสิ้น) โดยงานทั้งสิบสองอย่างนี้จะถูกเรียกว่า แรงงานทั้ง 12 ของเฮอร์คิวลิส (The Twelve Labours of Hercules) โดยมีรายชื่องานดังต่อไปนี้


1. การล่าสิงโตเมืองนีเมีย (The Nemean Lion)
เป็นงานแรกของเฮอร์คิวลิสซึ่ง ยูริสเทียส สั่งให้เขาไปนำหนังสิงโตจากเมืองเนเมีย ซึ่งสิงโตที่นั่นก็แข็งแกร่งจนอาวุธทำอะไรไม่ได้ เฮอร์คิวลิสจึงต้องทำการฆ่าสิงโตด้วยมือเปล่า สุดท้ายเขาก็สามารถนำหนังสิงโตกลับไปให้ยูริสเทียสได้สำเร็จ แต่ยูริสเทียสนั้นไม่รับไว้เนื่องจากหวาดกลัวความสามารถของเฮอร์คิวลิส จึงเป็นต้นเหตุทีทำให้รูปปั้นส่วนใหญ่ของเฮอร์คิวลิสนั้นคลุมหนังสิงโตอยู่เสมอนั่นเอง


2. การปราบ Hydra (The Lernean Hydra)
งานชิ้นที่สองของเฮอร์คิวลิส โดยเขาได้รับคำสั่งให้ไปจัดการงูหลายหัว ไฮดรา ที่หนองน้ำเลอร์นา(Lerna)ซึ่งอยู่ใกล้ๆแถวนั้น เนื่องจากมันมักจะออกมาทำร้ายคนอื่นเสมอ งานนี้เฮอร์คิวลิส มีผู้ช่วยชื่อไอโอลอส (Iolaus และเขาไม่ได้ใส่เกราะโกลด์เซนต์นะครับ) ซึ่งงูไฮดร้านนี้แท้จริงแล้วเป็นอมตะอยู่หนึ่งหัวและสามารถงอกหัวใหม่มาได้เรื่อยๆ เฮอร์คิวลิสจึงทำการจัดการหัวที่ไม่ได้เป็นอมตะและมีไอโอลอสคอยไล่จุดไฟใส่หัวไม่อมตะพวกนั้นเพื่อไม่ให้มันงอกขึ้นมาได้ใหม่ และหัวสุดท้ายที่เป็นอมตะนั้นเฮอร์คิวลิสได้ฝังมันไว้ใต้หินใหญ่ข้างถนน ระหว่างเมืองอีเลอุส (Elaeus) กับเมืองเลอนา ทว่าเมื่อเฮอร์คิวลิสกลับไปรายงานยูริสทีส เขาก็เจอยูริสทีสปฏิเสธที่จะรับงานนี้เป็นหนึ่งในงานสิบอย่างที่ Oracle กำหนดไว้เนื่องจากงานนี้มีไอโอลอสเป็นผู้ช่วยนั่นเอง


3. การพากวางแดง (The Hind of Ceryneia)
งานที่สามของเฮอร์คิวลิสนั้นเป็นเหมือนงานที่ไม่ยากอะไรนักกับชายที่กำหราบสิงโตได้แต่ทว่ากวางตัวที่เขาต้องไปล่านั้นเป็นกวางวิเศษ ณ เมืองเซริเนีย อีกทั้งกวางตัวนี้ยังเป็นกวางวิเศษของเทวีแห่งดวงจันทร์ อาร์เทมิส (Artemis) ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะฆ่ากวางตัวนี้ นอกจากนั้นแล้วกวางตัวนี้ยังมีความไวสูงจนธนูไม่สามารถต้องตัวของมันได้อีกด้วย เหตุนนี้เองเฮอร์คิวลิสจึงพยายามไล่ล่ามันอยู่หนึ่งปี จนกระทั่งกวางตัวนั้นเหนื่อยอ่อน เฮอร์คิวลิสจึงสามารถจับมันได้ในที่สุด แต่เมื่อเขาจับกวางได้แล้วเขาก็ได้พบกับ อาร์เทมิส ซึ่งมาพร้อมกับ เทพอพอลโล (Apollo) เฮอร์คิวลิสอธิบายเหตุผลที่เขาต้องทำแบบนี้ให้เทพทั้งสองฟัง อาร์เทมิส จึงยินยอมให้เขายืมกวางไป และเมื่อเฮอร์คิวลิสได้มอบกวางให้ยูริสเทียสนั้นเขาก็เจตนาปล่อยกวางให้ห่างจากตัวยูริสเทียสทำให้กวางวิเศษสามารถวิ่งหนีกลับไปหาอาร์เทมิสได้


4. การพาหมูป่ากลับมาเป็นๆ (The Erymanthian Boar)
หลังจากที่ยูริสเทียสล้มเหลวที่จะจัดการเฮอร์คิวลิสด้วยสามงานแรกแล้ว เขาก็มอบงานต่อไปนั่นก็คือการไปจับหมูป่าที่ทำร้ายคนอยู่บริเวณเขาอีรีแมนทัส โดยงานนี้เฮอร์คิวลิสได้ไปขอคำปรึกษาจาก Centaur สองตนนั่นคือ Chiron กับ Pholus ซึ่งคำปรึกษาที่เขาได้รับมาก็คือการไล่หมูป่าตัวนั้นให้เข้าไปยังบริเวณที่มีหิมะปกคลุมก่อนที่จะจับมันซะ ซึ่งเฮอร์คิวลิสก็ได้ตะโกนไล่หมูป่าจนมันติดกับตามแผน สุดท้ายเขาก็พามันกลับไปให้ยูริสเทียสได้สำเร็จ แต่ยูริสเทียสก็เกิดอาการหวาดกลัวมากทั้งสัตว์ร้ายและคนที่กำหรายมันได้จนถึงขนาดที่เขาต้องหลบไปอยู่ในตุ่มใบหนึ่งทีเดียว


5. การทำความสะอาดคอกปศุสัตวเมือง Augeas (The Augean Stables clean up)
เมื่อยูริสเทียสล้มเหลวในการเอาชีวิตของเฮอร์คิวลิสมาถึงสี่ครั้ง งานครั้งที่ห้านี้จึงหมายที่จะทำลายศักดิ์ศรีของเฮอร์คิวลิสแทนโดยการให้เขาไปทำความสะอาดคอกปศุสัตว์ของเมือง Augeas ซึ่งจริงๆแล้วเป็นคอกปศุสัตว์ที่เทพประธานมาให้จึงมีความกว้างใหญ่ไพศาลและจำนวนสัตว์มากมาย แต่เฮอร์คิวลิสกก็ได้ไปตกลงกับกษัตริย์ของเมืองนี้ว่าถ้าหากเขาสามารถทำความสะอาดได้ภายในวันเดียว เขาจะขอปศุสัตว์จำนวนหนึ่งในสิบ ของกษัตริย์เป็นรางวัลตอบแทน ซึ่งกษัตริย์ก็ตกลงเพราะเขาไม่คิดว่าเฮอร์คิวลิสจะทำได้ แต่เฮอร์คิวลิสก็ทำได้โดยการทำทางเชื่อมน้ำระหว่างแม่น้ำสองเส้น จนทำให้น้ำนั้นล้างคอกปศุสัตว์จนเรียบร้อย เขาจึงไปทวงถามถึงรางวัลที่เขาควรได้รับแต่กษัตริย์แห่ง Augeus ก็ได้ปฏิเสธเมื่อทราบว่าเฮอร์คิวลิสเป็นของยูริสเทียส จนกระทั่งต้องมีเรื่องขึ้นศาลกันในที่สุดซึ่งผลปรากฏว่าเฮอร์คิวลิสชนะคดีไป แต่เมื่อชนะความมาแล้วเขาก็ไม่ได้รับรางวัลจากกษัตริย์แห่ง Augeus เนื่องจากกษัตริย์แห่ง Augeus ไล่ให้เฮอร์คิวลิสออกจากเมืองของตนหลังแพ้คดี (ชนะศาลแต่ไม่มีสิทธิ์อยู่ในเมืองก็เลยชวดของรางวัลไปอะไรแบบนั้นล่ะครับ) และยูริสเทียสก็ไม่นับให้งานนี้เป็นหนึ่งในงานสิบอย่างที่ Oracle กำหนดไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าเฮอร์คิวลิสร้องขอของรางวัลจากกษัตริย์ Augeus แล้ว


6. การขับไล่นกที่เมือง Stymphalos (The Stymphalian Birds)
แม้ว่าจะฝ่าฟันงานอันตรายมาแล้วห้างานแต่ยูริสเทียสก็ยังคงสั่งการให้เฮอร์คิวลิสไปทำงานที่ยากยิ่งอีกชิ้นหนึ่งนั่นก็คือการให้เฮอร์คิวลิสไปขับไล่ฝูงนกดุร้ายจำนวนมหาศาลที่เมืองสติมฟาลอสที่คอยทำลายพืชผลแถบนั้น(แต่บางตำราก็เชื่อว่านกพวกนี้กินคนด้วย) ด้วยจำนวนอันมหาศาลของมันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะขับไล่พวกมันออกไปได้ด้วยตัวคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี เทพีอาเทน่า (Athena) จึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเฮอร์คิวลิสโดยนางได้มอบ Krotala (เครื่องดนตรีโลหะที่ทำหน้าทีให้จังหวะคล้ายฉิ่งหรือกรับ)ที่สร้างขึ้นโดย เทพเฮฟาเอสตัส(Hephaestus)เทพแห่งการตีเหล็ก จากนั้นเฮอร์คิวลิสก็ทำการตี Krotala นี้จนเกิดเสียงดังก้องทำให้นกพวกนี้ต้องบินออกมา ในจังหวะนั้นเองเฮอร์คิวลิสก็ระดมยิงธนู(บ้างก็ว่ายิงหินใส่)จนนกเหล่านั้นล้มตายลง และตัวที่รอดชีวิตก็ไม่เคยกลับมาแผ่นดินกรีซอีกเลย


7. การปราบวัวกระทิงเมือง Crete (The Cretan Bull)
สำหรับภารกิจนี้เหมือนเป็นงานเบาๆสำหรับเฮอร์คิวลิสครับเพราะเขาเพียงแค่ไปจัดการปล้ำวัวที่อาละวาดในเมือง เครเต้ (Crete) ตามคำขอของกษัตริย์ ไมนอส (Minos) ซึ่งงานนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็วเพราะเฮอร์คิวลิสสามารถเอาชนะวัวได้ในเวลาไม่นานและเมื่อเขานำวัวนี้กลับไปให้ยูริสเทียส ยูริสเทียสก็สั่งให้เขาปล่อยวัวนี้ไป(เพราะมันดุและอาละวาดหนักเกินกว่าคนธรรมดาจะรับมือไหว) สิ่งพิเศษสำหรับภารกิจนี้อยู่ที่ตัวของ "วัว" ครับ เพราะมันเป็นวัวของเทพโปเซดอนและเป็น "พ่อ" ของตัวประหลาดที่มีร่างเป็นคนแต่หัวเป็นวัวอย่าง มิโนทอร์(Minotaur) ด้วยครับ


8. การพาม้ากินคนของ Diomedes กลับมา (The Man-Eating Horses of Diomedes)
เมื่อจบงานวัวกระทิง ยูริสเทียสก็ส่ง Herakles ให้ไปพาเอาม้ากินคนของไดโอมิดิส (Diomedes กษัตริย์ชนเผ่า Bistones) กลับมาที่มีเซเนีย นักเขียนหลายคนที่เล่าถึงเรื่องนี้แตกต่างกันออกไปอะพอลโลโดรุส (Apollodorus) เล่าว่า Herakles ไปกลับกลุ่มชายหนุ่มอาสาสมัคร เมื่อเอาชนะบรรดาคนดูแลม้า และบังคับม้าไปถึงทะเล ไดโอมิดิสก็พาบรรดาทหารตามมาทัน Herakles ก็ปล่อยให้เด็กหนุ่มชื่อ Abderos ดูแลม้า ในขณะที่ Herakles ไปต่อสู้กับทหาร ซึ่งม้าฝูงนี้ มีกำลังเป็นต่อหนุ่มน้อยผู้เคราะห์ร้าย เมื่อฝูงม้าทำร้ายชายหนุ่มแล้วก็ลาก Aberos ไปรอบ ๆ จนกระทั่งชายหนุ่มเสียชีวิต เมื่อ Herakles เอาชนะชาว Bistones และฆ่าไดโอมิดิสได้ ก็ตั้งเมืองชื่อ Abdera เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่ Abderos
ส่วน ยูริพิดิส (Euripides) กวีอีกคนหนึ่งเล่าว่า Herakles ได้ทำงานนี้โดยลำพัง ม้ากินคนพวกนี้ เป็นม้าเทียมรถของไดโอมิดิส และ Herakles ได้จับม้าเหล่านี้ ลากรถกลับมามีเซเนีย หลังจากที่ภาระกิจเสร็จสิ้น ยูริสเทียสก็ปล่อยม้าเป็นอิสระ บรรดาม้าก็พเนจรไปเรื่อย จนกระทั่งถึงเขาโอลิมปุส ที่สถิตย์ของทวยเทพ และถูกสัตว์ร้ายในบริเวณนั้นจับกินเป็นอาหารจนหมด


9. การนำเอาเข็มขัดของ Hippolyte มา (Hippolyte's Belt)
หลังจากงานง่ายๆและงานเร้าใจได้ผ่านไป ยูริสเทียสก็พยายามที่จะหางานโหดหิดมาให้เฮอร์คิวลิสอีกครั้งโดยครั้งนี้ยูริสเทียสสั่งให้เฮอร์คิวเลียสไปนำเข็มขัดของ ฮิปโพลิที(Hippolyte)ยอดนักรบแห่งเผ่าอเมซอน(เผ่านักรบหญิงล้วน)ซึ่งจรีงๆแล้วเข็มขัดนี้ก็เป็นของที่หล่อนได้รับมาจากอาเรส(Ares)เทพแห่งการรบซึ่งเป็นบิดา ยูริสเทียสต้องการให้เฮอร์คิวลิสนำเข็มขัดเส้นนั้นมาเป็นของกำนัลให้กับลูกสาวของยูริสเทียสเอง งานนี้เหมือนจะง่ายดายในทีแรกเมื่อฮิปโพลิทีต้อนรับเฮอร์คิวลิสและรับปากว่าจะมอบเข็มขัดนี้ให้แก่เขา แต่สุดท้ายเรื่องราวกก็วุ่นวายด้วยฝีมือของเทพีเฮร่าที่ปลอมตัวมายุยงคนในเผ่าว่าเฮอร์คิวลิสนั้นจะมาฆ่าหัวหน้าเผ่า จนทำให้ทั้งเผ่าหันอาวุธใส่เฮอร์คิวลิส เหตุนี้เองเฮอร์คิวลิสจึงได้ฆ่าฮิปโพลิทีและชิงเข็มขัดของเธอมา(แต่บางตำราก็ว่า เฮอร์คิวลิสไม่ได้ฆ่าเธอ เขาเพียงป้องกันตัวก่อนที่จะจับฮิปโพลิทีข่มขืนและจากนั้นทั้งเผ่าก็ยอมสยบต่อสามีคนใหม่ของหัวหน้าเผ่า) จากนั้นเขาจึงเอาเข็มขัดกลับไปมอบให้ยูริสเทียส


10. การปล้นคอกปศุสัตว์ของ Geryon (The Cattle of Geryon)
งานชิ้นที่สิบนี้เป็นงานที่ใช้เวลายาวนานสำหรับเฮอร์คิวลิสโดยเขาต้องบุกไปขโมยฝูงสัตว์ในคอกปศุสัตว์ของ Geryon นักรบที่เป็นบุตรของยักษ์ผู้มี สามหัว และ สามลำตัวเชื่อมติดอยู่กับขาเพียงคู่เดียว เมื่อเฮอร์คิวลิสเดินทางไปถึงเอริเธีย (Erytheia) เขาก็ได้พบกับ Orthus สุนัขสองหัวที่เป็นน้องของ สุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก Cerberus ซึ่งเฮอร์คิวลิสก็จัดการกับหมาน้อย(?)สองหัวได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะจัดการคนเฝ้ายาม Eurythion อย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นเฮอร์คิวลิสก็ได้ปะทะกับ Geryon และยิง Geryon ตายด้วยธนูในที่สุด
ถึงแม้จะดูเหมือนว่างานหนักได้ผ่านไปแล้วแต่ส่วนยากของงานนั้นเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อเฮอร์คิวลิสต้องนำสัตว์ทั้งหมดนั้นกลับไปมอบให้ยูริสเทียส ระหว่างทางนั้นมีเฮอร์คิวลิสโดน Cacus สัตว์ประหลายที่เป็นบุตรของ Hephaestus ขโมยวัวไปซึ่งเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจาก Caca ในการบอกที่ซ่อนของ Cacus แล้วเขาก็สังหาร Cacus พร้อมกับนำวัวเดินทางต่อ อีกพักหนึ่งวัวตัวหนึ่งก็กระโดดลงน้ำและหนีไปทางเกาะซิซิลีของอิตาลีในบัจจุบัน เนื่องจากว่าวัวในภาษากรีกนั้นเรียกว่า "Italus" ดินแดนแห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า "Italy" จากนั้นแล้วเทพีเฮร่าก็ได้ส่งเหลือบเข้ามากวนวัวทำให้วัวแตกตื่นและกระจัดกระจายกันไป ทำให้เฮอร์คิวลิสต้องเสียเวลาไปรวบรวมวัวอีกครั้งก่อนที่จะเผชิญกับสัตว์ประหลาดอีกตนหนึ่ง ก่อนที่จะส่งมอบวัวเหล่านี้ให้ยูริสเทียสไปบูชายัญให้กับเทพีเฮร่า


11. การนำเอาแอปเปิลของ Hesperides (The Apples of the Hesperides)
หลังจากผ่านงานที่ใช้เวลายาวนานไปอีกหนึ่งชิ้น ยูริสเทียสก็สั่งการให้เฮอร์คิวลิสไปนำแอปเปิ้ลทอง ซึ่งเป็นแอปเปิ้ลที่เทพแห่งผืนปฐพีไกอา (Gaia) มอบให้เป็นของขวัญแต่งงานเมื่อครั้งที่เทพีเฮร่าได้แต่งงานกับมหาเทพ ซุส(Zeus) ซึ่งต้นแอปเปิ้ลนี้ถูกคุ้มกันโดยมังกรร้อยหัว Ladon และยังมีนางไม้ Hesperides ดูแลอยู่อีกด้วย และด้วยความที่เฮอร์คิวลิสไม่ทราบว่าต้นแอปเปิ้ลนี้ตั้งอยู่ที่ใด เขาจึงออกเดินทางไปทั่วจนกระทั่งเขาได้ข้อมูลของสวนจากการเอาชนะเทพแห่งทะเลผู้ถนัดการเปลี่ยนร่าง เนริอุส (Nereus) ก่อนที่จะได้ปลดปล่อยโปรมิเธียส (Prometheus) ซึ่งโดนกักขังอยู่ โดยโปรมิเธียสได้ให้คำแนะนำกับเฮอร์คิวลิสว่าเขาไม่จำเป็นต้องไปแย่งแอปเปิ้ลมาด้วยตัวเองแต่เขาสามารถขอให้ ยักษ์ไททัน (Titan)ที่มีชื่อว่า แอตลาส(Atlas) ซึ่งทำหน้าที่แบกโลกและท้องฟ้าเป็นคนไปขอแอปเปิ้ลนี้มาได้เนื่องจากว่า แอทลาสเป็นพ่อของ Hesperides
เฮอร์คิวลิสที่ได้รับฟังดังนั้นก็รีบไปหาแอตลาสแล้วก็ตกลงว่าเขาจะแบกโลกให้ระหว่างที่แอตลาสไปขอแอปเปิ้ลทองมาจากลูกสาวของตน หลังจากที่แอตลาสได้แอปเปิ้ลมาเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับไปหา แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะกลับไปแบกโลกไว้อีกแล้วแอตลาสจึงบอกกับเฮอร์คิวลิสว่าเขาจะนำแอปเปิ้ลไปให้ยูริสเทียสเอง แต่ก่อนที่แอตลาสจะได้ทำตามใจหวังเฮอร์คิวลิสก็ออกอุบายว่าเขาอยากหาอะไรมารองไหล่สักหน่อยแอตลาสจึงวางแอปเปิ้ลและรับโลกจากเฮอร์คิวลิสและในจังหวะนั้นเองเฮอร์คิวลิสก็คว้าแอปเปิ้ลทองแล้วก็รีบวิ่งเอาแอปเปิ้ลไปมอบให้ยูริสเทียสทันที
แม้ว่ายูริสเทียสจะได้แอปเปิ้ลนี้มาจากเฮอร์คิวลิส แต่เนื่องจากมันเป็นผลไม้ของเหล่าทวยเทพ(และอาจจะเป็นชะตากรรมที่ยูริสเทียสแทบจะไม่ได้ครอบครองอะไรที่เฮอร์คิวลิสเอามาให้เลย) ยูริสเทียสก็ต้องมอบมันคืนให้กับเทพีอาเธน่าก่อนที่เทพีจะนำผลไม้ไปคืนสู่ที่ๆมันควรจะอยู่


12. การพาเอา Ceberus กลับมาเป็น ๆ (Ceberus)
และนี่เป็นภารกิจสุดท้ายของเฮอร์คิวลิส โดยครั้งนี้เขาจะต้องทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดทำได้มาก่อน นั่นคือการนำสุนัขเฝ้าประตูนรก เซอร์เบรัส (Cerberus)ขึ้นมาให้ยูริสเทียส เฮอร์คิวลิสได้เดินทางไปเมือง Eleusis และเข้าร่วมกับกลุ่ม Eleusinian จนสุดท้ายเขาก็ได้รับรู้วิธีการเข้า-ออกดินแดนแห่งความตายจากนักบวชในกลุ่ม แล้วเขาก็เดินทางไปสู่ Taeranum และสามารถลงไปยังดินแดนแห่งความตายโดยที่ตนเองยังไม่ตายได้สำเร็จ จากนั้นเฮอร์คิวลิสก็ประสบกับเรื่องต่างๆอีกมากมายทั้งเจอกับผี , ช่วยวีรบุรุษ , เล่นมวยปล้ำกับเหล่าผู้คุมแดนแห่งความตาย ฯลฯ จนสุดท้ายเขาก็ได้พบกับเซอร์เบรัส
สำหรับการพาตัวเซอร์เบรัสกลับมาบนโลกนั้นก็มีกล่าวกันไปแล้วแต่ผู้เล่าตัวอย่างเช่น ตำนานหนึ่งกล่าวว่าเฮอร์คิวลิสได้ปล้ำเซอร์เบรัสจนสามารถลากมันกลับมาบนโลกได้ อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าเฮอร์คิวลิสได้ร้องขอเฮเดส(Hades)ผู้ครองดินแดนความตาย เฮเดสจึงบอกให้เขานำเซอร์เบรัสกลับไปได้เพียงแต่ห้ามให้มันต้องแผลจากอาวุธใดๆทำให้เฮอร์คิวลัสต้องกอดรัดเซเบรัสไว้แล้วปล่อยให้หางที่เป็นงูนั้นเข้ามากัดตัวของตัวเองจนกระทั่งเฮอร์คิวลิสนำมันไปให้ยูริสเทียส อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าเซอร์เบรัสที่เห็นเฮอร์คิวลิสนั้นได้ตามเฮอร์คิวลิสกลับไปบนโลกอย่างโดยดี
ไม่ว่าเฮอร์คิวลิสจะนำพามันมาด้วยวิธีใดก็ตามสุดท้ายเฮอร์คิวลิสก็นำสุนัขเฝ้าประตูนรกนี้ไปให้ยูริสเทียสได้ และเป็นอีกครั้งที่ยูริสเทียสกระโดดหลบหลงไปในไหแถวนั้นด้วยความกลัว และนี่ก็เป็นจุดสิ้นสุดของภารกิจทั้งสิบสองของเฮอร์คิวลิส


ในบั้นปลายชีวิตเฮอร์คิวลิสได้แต่งงานอีกครั้งกับ Deianira ซึ่งหล่อนนั้นได้โดนหลอกล่อให้เอาเลือดของเซนทอร์(คนครึ่งม้า)ตัวหนึ่งไปป้ายเสื้อของเฮอร์คิวลิสเพื่อที่จะทำให้เขารักเขาหลง แต่จริงๆแล้วเลือดของเซนทอร์ตัวนั้นมีพิษอยู่จึงทำให้ผิวของเฮอร์คิวลิสนั้นได้รับแผลราวกับถูกไฟเผาตลอดเวลา เขาจึงขึ้นไปก่อกองไฟบนภูเขา โอต้า (Oeta) เพื่อที่จะได้ตายอย่างสงบ และได้ขอให้ ฟิลอคเทเทส (Philoctetes) จุดไฟให้ โดยเฮอร์คิวลิสได้มอบธนูให้ของตนเองกับฟิลอคเทเทสซึ่งต่อมา Philoctetes ก็ได้นำธนูนั้นไปใช้ในศึกกรุงทรอย หลังจากนั้นเชื่อกันว่าเฮอร์คิวลิสได้ถูกเทพีอาเธน่าพาไปสู่สวรรค์และกลายเป็นเทพเต็มตัวไป(บางตำราว่าร่างของเขาโดนไฟลุกท่วมทำให้ร่างมนุษย์ของเขาถูกทำลายลง คงเหลือไว้เพียงร่างเทพเท่านั้น)

อาวุธ : ตามตำนานแล้วเฮอร์คิวลิสใช้อาวุธหลากหลายทั้งดาบ กระบอง และ ธนู

เกาะนามิ (Nami island)



เกาะนามิซัม (Namiseom) หรือนามิโด (Namido Island) ตั้งอยู่ในเมืองชุนซอน จังหวัดคังวอน เป็นเกาะกลางแม่น้ำมีรูปร่างเหมือนใบไม้ลอยน้ำ เป็นเกาะที่เกิดจากการสร้างเขื่อนชองเปียง (Cheongpyeong) กั้นแม่น้ำ Bukhan ชื่อของเกาะนามิถูกตั้งขึ้นตามชื่อของนายพลนามิ ทีรับราชกาชตั้งแต่อายุ 17 ปี และถููกประหารเพราะมีความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงานมากเกินไป ซึ่งเป็นนายทหารที่มีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์โชซอน เป็นเกาะที่เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในการใช้เวลาว่างเพื่อพักผ่อนของครอบครัวหรือคู่หนุ่มสาวนิยมใช้สถานที่นี้ในการออกเดท เพราะมีบรรยากาศที่โรแมนติกและที่สำคัญ คือ อยู่ห่างจากกรุงโซลเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง หากจะขึ้นแท็กซี่ไปเกาะนามิพูดว่า “นามิ ซอม คาโย” แปลเป็นไทยว่า “ไปเกาะนามิ ค่ะ” ฤดูใบไม้ร่วงเป็นเป็นช่วงเวลาที่เกาะนามิ น่าหลงใหลเป็นที่สุดเพราะการเปลี่ยนสีแดงสีเหลืองของบรรดาใบไม้บนเกาะนั้น ยิ่งทำให้บรรยากาศบนเกาะนามิโรแมนติกยิ่งขึ้น และที่พลาดไม้ได้เพราะเป็นไฮไลท์ของเกาะนามิ คือ รูปถ่ายขนาดตัวจริงของ เบยองจุน และ แชงจีอู คู่พระนางในละคร winter love song หรือเพลงรักในสายลมหนาว และทิวสนต้นใหญ่หลายต้นที่ยืนตั้งตระง่านเรียงรายคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวรอให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปความประทับใจไว้เป็นความทรงจำว่ากาลครั้งหนึ่งได้เคยเดินทางมา ณ เกาะนามิ นอกจากนี้ก็ยังมีศูนย์นิทรรศการจัดแสดงรายละเอียดสถานที่ถ่ายทำละครเกาะนามินี้ยังมีกิจกรรมสนุก ๆ เช่น ขี่จักรยาน สกีน้ำ พายเรือ สนามเด็กเล่น สนามฟุตบอล สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ เล่นเลื่อนหิมะ และชม ฟาร์มนกกระจอกเทศ ห่างจากกรุงโซล เพียง 63 กิโลเมตร ณ ที่แห่งนี้ท่านสามารถคารวะ สุสานนายพลนามิ ซึ่งเป็นเจ้าของเกาะ เช่าจักรยานเที่ยวรอบเกาะ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ แมกไม้ ทิวสน ต้นเกาลัดได้อีกด้วย

วัดมหาธาตุ อยุธยา


วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ พงศาวดารบางฉบับ กล่าวว่าวัดนี้ สร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาต มาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค ์ประธานของวัดเมื่อพ.ศ.1927 พระปรางค์วัดมหาธาตุถือเป็นปรางค์ที่สร้างในระยะ แรก ของสมัยอยุธยาซึ่งได้รับอิทธิพลของปรางค์ขอมปนอยู่ ชั้นล่างก่อสร้างด้วย ศิลาแลงแต่ที่เสริมใหม่ ตอนบน เป็นอิฐถือปูน สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงปฏิสังขรณ์พระปรางค์ใหมโดยเสริมให้สูงกว่าเดิมแต่ขณะนี้ ยอด พังลงมาเหลือเพียงชั้นมุขเท่านั้นจึงเป็นที่น่าเสียดายเพราะมีหลักฐานว่าเป็นปรางค์ ที่มีขนาดใหญ่มากและก่อสร้าง อย่างวิจิตรสวยงามมากเมื่อพ.ศ. 2499 กรมศิลปากรได้ขุดแต่งพระปรางค์แห่งนี้ พบของโบราณหลายชิ้น ที่สำคัญ คือ ผอบศิลา ภายในมีสถูปซ้อนกัน 7 ชั้น แบ่งออกเป็น ชิน เงินนาก ไม้ดำ ไม้จันทร์แดง แก้วโกเมน และทองคำ ชั้นในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอัน มีค่าปัจจุบันพระ บรมสารีริกธาตุนำไปประดิษฐาน ไว้ที่ี่ พิพิธภัณฑ์ สถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

วัดมหาธาตุ หมายถึงวัดอันเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างขึ้นในสมัยขุนหลวงพะงั่ว
เมื่อปี พ.ศ. 1917แต่เข้าใจว่าการก่อสร้างเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระราเมศวรจารีตของการสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ เอาไว้ในเมือง ซึ่งถือสมมุติว่าพระเจดีย์นั้นเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุ และวัดนั้นถือว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ ทั้งมักจะมีชื่อว่า วัดมหาธาตุ หรือวัดพระศรีมหาธาตุ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ปรากฏโดยทั่วไปในทุกภูมิภาค จารีตดังกล่าวนี้จะ เริ่มในสมัยใดนั้นไม่ทราบได้ แต่หากจะพิจารณาเฉพาะอาณาจักรอยุธยาจะเห็นได้ว่าธรรมเนียม ดังกล่าวเริ่มตั้งแต่สมัย่แรกๆ ทีเดียววัดมหาธาตุจึงเป็นวัดที่สำคัญที่สุดวัดหนึ่งของอาณาจักร ในฐานะที่เป็นตัวแทน ของพระพุทธเจ้า อีกทั้งหากจะพิจารณาดูสถานที่ตั้งก็จะเห็นว่าอยู่ใกล้ชิดกับพระบรมมหาราชวังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น วัดนี้จึงเป็นที่ประทับของสมเด็จ พระสังฆราช (ฝ่ายคามวาสี)มาตลอดจนสิ้นกรุงศรีอยุธยา(ส่วนพระสังฆราชฝ่าย อรัญวาสีนั้น ประทับอยู่ที่วัดใหญ่ชัยมงคล หรือ สำนักวัดป่าแก้ว)


ส่วนที่สองคืออาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังใหญ่ 2 ชั้น สูงโปร่งทาสีขาวทั้งหลัง มีประตู หน้าต่าง แบบบ้านสมัยเก่าทาสีฟ้าดูสดใส ภายในแบ่งเป็นสองชั้น เมื่อก้าวเข้าไปสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ด้านใน ก็จะพบ กับสิ่งของจัดแสดงไว้มากมาย อาจารย์เกริกได้ใช้เวลาร่วม 20 กว่าปีในการสะสม


สิ่งที่น่าสนใจในวัดมหาธาตุ อยุธยา1. พระปรางค์ขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันพังทลายลงมาหมดแล้ว แต่ราชทูตลังกาที่ได้เคยมาเยี่ยมชมวัดมหาธาตุ ใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไว้ว่า ที่ฐานของพระปรางค์ มีรูปราชสีห์ หมี หงส์ นกยูง กินนร โค สุนัขป่า กระบือ มังกร เรียงรายอยู่โดยรอบ รูปเหล่านี้อาจหมายถึงสัตว์ในป่าหิมพานต์ที่รายล้อมอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกน กลางของจักรวาล
2.เจดีย์แปดเหลี่ยม เป็นเจดีย์ลดหลั่นกัน 4 ชั้น 8 เหลี่ยม ชั้นบนสุดประดิษฐานปรางค์ขนาดเล็ก ซึ่งเจดีย์องค์นี้ จัดว่าเป็นเจดีย์ที่แปลกตา พบเพียงองค์เดียวในอยุธยา
3.วิหารที่ฐานชุกชี ของพระประธานในวิหาร กรมศิลปากรพบว่ามีผู้ลักลอบขุดลงไปลึกถึง 2 เมตร จึงดำเนิน การขุดต่อไปอีก 2 เมตร พบภาชนะดินเผาขนาดเล็ก 5 ใบ บรรจุแผ่นทองเบาๆรูปต่างๆ
4.วิหารเล็ก วิหารเล็กแห่งนี้ มีรากไม้แผ่รากขึ้นเกาะเต็มผนัง รากไม้ส่วนหนึ่งได้ล้อมเศียรพระพุทธรูปไว้ ธรรมดา กรมศิลปากรจะต้องตัดต้นไม้ออก แต่ที่นี่ดูจะว่าเป็นที่ยกเว้น
5.พระปรางค์ขนาด กลางภายในพระปรางค์ มีภาพจิตรกรรม เรือนแก้วซึ่งเป็นตอนหนึ่งในพุทธประวัติ
6.ตำหนักพระสังฆราช บริเวณพื้นที่ว่างทางด้านทิศตะวันตก เป็นสถานที่ที่เป็นที่ตั้งพระตำหนักพระสังฆราช ราชทูตลังกาได้บอกไวว่า เป็นตำหนักที่สลักลวดลายปิดทอง มีม่านปักทอง พื้นปูพรม มีขวดปักดอกไม้เรียงราย เป็นแถวเพดานแขวนอัจกลับ (โคม) มีบังลังก์ 2 แห่ง

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ผ่านมา การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป


พระอุโบสถ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
ผนังพระอุโบสถ ในรัชกาลที่ ๑ เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ ๓ โปรดเล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก บานพระทวารและพระบัญชรประดับมุกทั้งหมด ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม ๑๒ ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก ๑๐ ตัว


พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต)
พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
หน้าฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้งสองพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิ์หุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี

The Great Pyramid of Egypt เมืองกิซา ประเทศอียิปต์


พีระมิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 ด้วยกัน แต่พีระมิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าพีระมิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี

พีระมิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือพีระมิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาพีระมิด
- ฐานของพีระมิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานพีระมิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว

- ตัวมหาพีระมิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร

สันนิษฐานว่าผู้สร้างพีระมิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของพีระมิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
ใจกลางพีระมิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต X บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องพีระมิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และพีระมิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
พีระมิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นพีระมิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพีระมิด เล็กกว่ามหาพีระมิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของพีระมิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว
พีระมิดไมซีรีนัส เป็นพีระมิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากพีระมิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังพีระมิดแห่งคีเฟรน

กำแพงเมืองจีน (Great Wall) . . . ปักกิ่ง - จีน


กำแพงเมืองจีน ตอนซุ้มประตูปาต๋าหลิ่ง ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของปักกิ่งออกไป ๗๕ กิโลเมตร กำแพงเมืองจีน ถูกถือว่า เป็น 1 ใน 7สิ่งอันมหัศจรรย์ของโลก มีระยะทางยาวกว่า 7000 กิโลเมตร เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก กำแพงเมืองจีน เริ่มขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ก่อน ค.ศ.เพื่อป้องกันการรุกรานของชนชาติส่วนน้อยในภาคเหนือ ถึงปี 221 ก่อน ค.ศ.จักรพรรดิ จิ๋นซีได้เชื่อมกำแพงเมืองในแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนชาติ
ส่่วนน้อยบนทุ่งหญ้าอันกว้างไพศาลในมองโกเลีย กำแพงเมืองจีนในสมัยนั้นมีระยะทางยาวกว่า 5000 กิโลเมตร หลังจากนั้น ผู้ปกครองของจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นไดสร้างกำแพงเมืองจีนต่อจนมี ระยะทางยาวกว่า 10000 กิโลเมตร ในช่วงระยะเวลากว่า 2000 ปี ผู้ปกครองของจีนในสมัยต่าง ๆ ต่างก็็เคยสร้างกำแพงเมืองไม่มากก็น้อย รวม ๆ แล้วมีระยะทางยาวกว่า 50000 กิโลเมตร ซึ่งสามารถล้อมโลกกว่า 1 รอบ โดยทั่วไปแล้ว กำแพงเมืองจีนในปัจจุบันหมายถึงกำแพงเมืองจีนสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 -ค.ศ.1644)ระหว่างด่านเจียอี้กวนในมณฑลกันซู่ทางภาคตะวันตกถึงริมฝั่งแม่น้ำยาลู่ในข้างนอกของกำแพงเมืองจีนก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่และแท่นหิน ข้างในถมด้วยดิน เหลืองและเศษหิน ความสูงประมาณ 10 เมตร สันกำแพงเมืองจีนกว้าง 4 ถึง 5 เมตร ให้ม้า 4 ตัวไปพร้อมกันได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายทหาร ขนส่งอาหารและอาวุธยามศึก ด้านในของกำแพงเมืองมีประตูที่ทำบันไดหินไว้ การขึ้นลงสะดวกมาก ทั้งได้สร้างป้อมและป้อม จุดไฟสัญญาณแจ้งเหตุเป็นช่วง ๆ ป้อมเป็นที่เก็บอาวุธ อาหารและที่พักของทหาร ยามศึก ก็จะใช้เป็นที่กำบังได้ ถ้ามีศัตรูรุกเข้ามา ก็จะจุดไฟสัญญาณให้มีควันขึ้นบนป้อมแจ้งเหตุเพื่อส่งข่าวไปยังทั่วประเทศทันที กำแพงเมืองจีนมีความหมายทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและคุณค่าทางการท่องเที่ยวอย่างสูง ผู้คนในจีนซึ่งรวมทั้งนักท่องเที่ยวทั้งจีนและเทศแม้กระทั่งผู้นำต่างประเทศด้วยมักจะกล่าวกันว่า ถ้าไม่ขึ้นกำแพงเมืองจีนก็ไม่ใช่ผู้กล้า ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนไม่มีสมรรถนะที่เป็นจริงในการีใช้เป็นป้อมศึกอีกแล้วแต่ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าทึ่งในฐานะสถาปัตยกรรมอันสง่างามอย่างหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ เมื่อปี 1987 กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกให้จัดเข้าสู่รายชื่อมรดกโลกในฐานะที่เป็น สัญลักษณ์ของประชาชาติจีน

ทัชมาฮัล


ทัชมาฮัล คือตัวอย่างของตำนานแห่ง “ ความรัก” ที่ปราศจากนิยามคำนี้ ผู้ที่สร้างตำนานความรักอันยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์ชาห์ญะฮาน กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์โมเลกุล ที่ทรงโปรดให้สร้าง ตาซมะฮัล หรือ ทัชมาฮัลขึ้นเป็นอนุสรณ์แทนความรักที่พระองค์มีต่อมเหสีคือ พระนางมุมตาซ มะฮัล จนสถานที่แห่งนี้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่งดงามที่สุดในโลก

กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ทรงเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ญะฮางงีร์ ทรงประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1592 เป็นที่ร่ำลือตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายที่ทรงเคร่งขรึม ในพระทัยเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ความเป็นคนอมทุกข์ของพระราชโอรสสร้างความหนักพระทัยให้กับพระราชบิดาเป็นอย่างมาก กษัตริย์ญะฮางีร์ ทรงแนะนำให้พระราชโอรสดื่มน้ำจัณฑ์และหาความสำราญพระทัยด้านต่างๆ มาสู่พระราชโอรส แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชาห์ ญะฮาน ยังทรงเคร่งขรึมไม่เบิกบานพระทัยเช่นเดิม
จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายได้เสด็จประพาสตลาดและได้พบกับสาวน้อยวัย 14 ปี นามว่า อรชุนด์ บาโน เบคุม เป็นบุตรสาวของ อะซีฟ ข่าน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1592 และมีเชื้อสายเปอร์เซีย เพียงได้เห็นดวงหน้าของนางครั้งแรกเจ้าชายก็เกิดรักแรกพบขึ้นที่ตลาดนั่นเอง 3 ปีให้หลัง พิธิอภิเษกสมรสของเจ้าชายก็ถูกจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 หลังจากพิธีอภิเษก อรชุนด์ บาโน เบคุม ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า มุมตาซ มะฮัล ซึ่งแปลว่า อัญมณีแห่งปราสาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาเจ้าชายก็ทรงเปลี่ยนไป เพราะเบิกบานพระทัยยิ่งนัก อีกทั้งสองพระองค์ก็เป็นคู่รักที่ไม่เคยแยกจากกันเลย ในปี ค.ศ. 1628 เจ้าชายเสด็จขึ้นครองราชบังลังก์ ทรงพระนามว่า กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โดยมีพระนางมุมตาซ มะฮัล เป็นพระมเหสีคู่พระทัย พระนางทรงเป็นทั้งคู่คิดและที่ปรึกษา และ มีส่วนในการช่วยเหลือพระสวามีในการปกครองบ้านเมือง อีกทั้งยังทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรทั่วหล้า


พระนางมุมตาซ มะฮัล ทรงให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 14 พระองค์ หลังจากทรงให้กำเนิดพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในช่วงปี ค.ศ. 1631 พระนางได้เสด็จร่วมกรีธาทัพกับพระสวามี ณ เมืองเดคข่าน แต่ระหว่างเสด็จกลับพระนครพระนางก็ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในที่สุดขบวนเคลื่อนพร
ะศพสู่พระนครนั้น ถูกจัดอย่างเอิกเกริกมโหฬาร ตลอดเส้นทางที่เคลื่อนขบวนมีการโปรยทานแก่คนยากจน เมื่อขบวนเคลื่อนเข้าใกล้กรุงอาครา ผู้ที่อาลัยรักพระนางต่างมาสมทบมากขึ้นจนเป็นขบวนแห่พระศพที่ยิ่งใหญ่มาก

กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้นำอาหารมาเลี้ยงแก่ประชาชนทั้งหลายอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศแก่พระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่ง การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพระมเหสีสุดที่รักสร้างความโทมนัสตรอมพระทัยให้กับกษัตริย์ชาห์ ญะฮานเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่ทรงเสวยและไม่ทรงพระบรรทม ทรงแต่ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องนุ่มห่มสีขาวเป็นการไว้ทุกข์ และทรงเสด็จเยี่ยมหลุมฝังศพของพระนางทุกวันศุกร์ด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์แห่งความรักขึ้นมาอย่างวิจิตรอลังการ และให้ชื่อเรียกว่า ตาซ มะฮัล สร้างอยู่บนพื้นที่ 42 เอเคอร์ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา
ในการก่อสร้างนั้น กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้ระดมช่าง ศิลปิน และสถาปนิกที่ได้ชื่อว่าฝีมือดีเยี่ยมที่สุดจากหลายๆ ที่ ประมาณ 20,000 คน ใช้เวลาการในก่อสร้าง 22 ปี สิ้นค้าใช้จ่ายในการก่อสร้างไปประมาณ 45 ล้านรูปี พระอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างด้วยศิลาขาวทั้งหมดมีโดมทรงกลมเด่นอยู่ตรงกลาง สูงถึง 72 เมตร บริเวณโดยรอบมีผนังศิลาแลงล้อมรอบ ประตูทางเข้าวางอยู่บนฐานศิลาแลง บริเวณทางเข้ามีสระน้ำหินอ่อนสีขาวรอบทางเดินเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์

ตำแหน่งที่เป็นที่วางพระศพของพระนางมุมตาซ ทำเป็นแท่นรูปบัวตูม ส่วนหีบพระศพเป็นหินอ่อนสีขาวแกะสลักอย่างงดงาม หลังจากที่เป็นที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จแล้ว กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ได้เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้เสมอๆ จนกระทั่งในค.ศ. 1658 ก็ทรงล้มป่วย พระราชโอรสองค์ที่ 3 คือ ออรังเซป ก็ตั้งตนขึ้นครองราชบัลลังก์แทน และจับกษัตริย์ชาห์ ญะฮาน พระราชบิดา กักขังไว้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1666
ก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ระหว่างที่ถูกกักขังอยู่กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน เฝ้าแต่นั่งจ้องมองดูกระจกชิ้นเล็กๆ ที่ส่องสะท้อนออกไปเห็นทัชมาฮัล พระองค์สวรรคตพร้อมด้วยกระจกที่กำแน่นอยู่ในพระหัตถ์ และ พระบรมศพของพระองค์ก็ได้ถูกนำไปฝังในทัชมาฮัล เคียงข้างกับพระมเหสีสุดที่รัก ตามพระประสงค์ที่ทรงต้องการจะอยู่เคียงคู่กันตราบชั่วนิจนิรันดร์ ตำนานอันเลื่องลือของความรักที่ปรากฏไปทั่วโลกเรื่องนี้

ยังมีเรื่องเล่าในอีกแง่มุมหนึ่งเกิดขึ้นมาที่ว่ากันว่ากษัตริย์ชาห์ ญะฮาน สร้างทัชมาฮัลขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัว โดยไม่คิดถึงหลักมนุษยธรรม และทัชมาฮัลก็กลายเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะในการสร้างทัชมาฮัล กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ระดมช่างฝีมือดีมาเป็นจำนวนมากและมีกฎว่าต้องสร้างให้เสร็จตามกำหนดเวลา ถ้าสร้างไม่เสร็จก็จะถูกลงโทษ และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อสร้างทัชมาฮัลเสร็จแล้ว ช่างทุกคนก็ถูกฆ่าตาย จนหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ไปสร้างสถานที่ที่งดงามเช่นนี้เลียนแบบไว้ที่ไหนอีก
บ้างก็ว่า กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน อาจะไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างทัชมาฮัลให้ยิ่งใหญ่เพื่อความรัก แต่มีแผนการที่จะสร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เพื่อสนองความต้องการ - ของตัวเอง และในการสร้างทัชมาฮัลนี้ ทำให้ประเทศอินเดียต้องสูญเสียเงินที่จะมาสร้างความเจริญให้กับประเทศ ไปถึง 250 ปี อย่างไรก็ตาม โลกก็ได้ให้รางวัลสำหรับ - ความยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ด้วยการจัดให้ทัชมาฮัล เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตราบมาจนถึงปัจจุบันนี้

Disneyland


ดิสนีย์แลนด์คงเป็นสวนสนุกในฝันของใครหลายๆคน ที่ให้ความสุขและจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดกับผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกเชื้อชาติ ถ้าเดินทางจากเมืองไทยดิสนีย์แลนด์ที่ใกล้และใหม่เอี่ยมที่สุดก็คงไม่พ้น ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ เพียง 3 ชั่วโมงโดยประมาณจากเมืองไทย เราก็สามารถไปปลดปล่อยเสียงกรี๊ด และเปลี่ยนบรรยากาศจากความซ้ำซากจำเจในชีวิตประจำวันไปพบกับโลกแห่งจินตนาการได้อย่างง่ายดาย สำหรับดิสนีย์แลนด์ฮ่องกง บางคนที่เคยไปเยือนดิสนีย์แลนด์ที่อื่นมาแล้ว เช่นญี่ปุ่น หรือ อเมริกา อาจจะบอกว่าเป็นดิสนีย์แลนด์ที่แลดูจะกระทัดรัดกว่าที่อื่น แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่หลายๆคนที่ไปแล้วจะพูดเป็นเสียงเดียวกันก็คือ การแสดงโชว์อันอลังการ และโอกาสไกล้ชิดตัวการ์ตูนดิสนีย์ทั้งหลาย ที่ออกมาต้อนรับให้ถ่ายรูปกันอย่างเป็นกันเองและเข้าถึงได้มากกว่าที่อื่น มาลองดูกันซิคะว่าภายในดิสนีย์แลนด์ฮ่องกงจะมีอะไรบ้าง อย่าลืมจินตนาการตามนะว่าถ้าเราไปอยู่ในโลกแห่งจินตานการนั้นจริงๆจะมีความสุขแค่ไหน :)


HongKong Disneyland ดินแดนที่ 1 “Main Street USA”
เป็นจุดเริ่มต้นของถนนแห่งการเดินทางย้อนเวลาสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ที่ถนนแกสลิทสตรีทอันแสนสวยของสหรัฐอเมริกา เราจะพบกับขบวนพาเหรดดิสนีย์ ชมเพื่อนชาวดีสนีย์ที่โปรดปรานอย่าง มิกกี้เมาส์, มินนี่, โดนัลดั๊ก และ กูฟฟี่ ที่มาร่วมเต้นระบำอย่างสนุกครื้นเครงกับวงดนตรีมาร์ชและเหล่านักเต้นที่เต็มไปด้วยความร่าเริงและเบิกบาน
ระหว่างทางนั้น ก็จะมีร้านช้อปปิ้งอันเก๋ไก๋ให้ได้เลือกสรรของที่ระลึกและของฝากพิเศษๆซึ่งมีมากกว่า 4,000 รายการ นอกจากนั้น จะเป็นที่ตั้งของซิตี้ฮอล และทางรถไฟฮ่องกงดิสนีย์ที่จะพาคุณชมไปรอบๆบริเวณอย่างเพลิดเพลิน แล้วก็อย่าลืมถ่ายรูปกับยวดยานแสนเก๋สะดุดตาบนถนนเมนสตรีทไว้เป็นที่ระลึกหล่ะ


Hongkong Disneyland ดินแดนที่2 “Adventure Land”
นึกภาพป่าแอฟริกันที่แสนลึกลับ ชวนสนเท่ห์ และน่าผจญภัย เข้าไปพบกับสิงห์โตเจ้าป่าไลออนคิงใน เฟสทิวัลออฟเดอะไลออนคิง (Festival of The Lion King) ซึ่งเป็นโชว์อันเร้าใจไปกับเสียงอันสดใสและมีชีวิตชีวากับการแสดงดนตรีสไตล์บอร์ดเวย์ ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนชิ้นเอกของดิสนีย์ “The Lion King” การแสดงที่ยอดเยี่ยมนี้จะทำให้คุณหลุดเข้าสู่ห้วงของจินตนาการจนจะต้องร้องว๊าวในใจแน่นอนค่ะ (คนที่ไปชมมาแล้วเค้าบอกมาเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด!) นอกจากนั้นผจญภัยกันต่อโดยล่องแพตามลำน้ำเมืองร้อนที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งจะได้เห็นสัตว์ป่า ชาวป่าที่พุ่งหอกทวนเป็นอาวุธ และเกาะของเจ้าป่าทาซาน นอกจากนั้นอย่าลืม แวะบ้านต้นไม้ของทาซาน และเล่นน้ำคลายร้อนที่สวนน้ำลิกี้ทิกิสล่ะ


HongKong Disneyland ดินแดนที่3 “Fantasy Land”
ดินแดนที่จะทำให้ทุกคนเคลิบเคลิ้มไปกับเทพนิยายอันแสนโรแมนติก ซึ่งทุกคนที่เข้ามาในดินแดนนี้จะอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป (Happily Ever After … ) มีมิกกี้เม้าส์มาดึงท่านเข้าสู่โลกแห่งความสุขใน โชว์เดอะโกลเด้นมิกกี้ (The Golden Mickey) ซึ่งรวบรวมเอาการแสดงตระการตาจากการ์ตูนอมตะอย่าง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร (Beauty and The Beast) ทอยสตอรี่ (Toy Story) และที่ขาดไม่ได้คือ มิกกี้เมาส์กับผองเพื่อน (Mickey and friends) ..หลังจากนั้นมิกกี้ก็จะสะกดมนต์ให้เคลิ้มไปใน มิกกี้ฟิลาเมจิก (Mickey’s Philharmagic) สวมแว่นสามมิติ แล้วสัมผัสกับภาพ เสียง และกลิ่นแห่งผลงานที่สร้างสรรค์ได้อย่างเกินจินตนาการ ซึ่งเหมือนจริงจนบางครั้งคุณอาจจะเอื้อมมือเข้าไปคว้าพยายามจับตัวเจ้าตัวการ์ตูนที่ลอยออกมาอยู่ใกล้ๆตัวคุณ ต่อจากนั้นผจญภัยอย่างน่ารักในดินแดนแห่งความฝันกับป่าหนึ่งร้อยเอเคอร์ ของเจ้าหมีวินนี่เดอะพูห์ ซึ่งจะทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง แล้วก็อย่าลืมเข้าไปในสวนมหัศจรรย์ บินไปกับช้างน้อยดัมโบ้ ขี่ม้าหมุนซินเดอเรลล่า หัวเราะร่าพร้อมกับหมุนติ้วไปกับถ้วยชาแมดเฮตเตอร์ และเข้าสำรวจถ้ำสโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดนะคะ


HongKong Disneyland ดินแดนที่4: Tomorrow Land
กระโดดขึ้นยานอวกาศและทยานขึ้นสู่ฟากฟ้า สู่อนาคตที่โลกเราจะต้อนรับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว! ยานอวกาศสเปสเมาเทน (Space Mountain) เร่งความเร็วผ่านจักรวาลอันไกลโพ้นทะลุเข้าไปในห้วงจักรวาล ตื่นเต้นกับซาว์แอฟเฟคในห้วงอวกาศที่คุณไม่สามารถเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ภาระกิจต่อไปคือต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวกับ บัซไลท์เยียร์วีรบุรุษจักรวาล ภารกิจนี้จะได้รับพร้อมปืนกระบอกคู่เพื่อกำจัดเจ้ามนุษย์ต่างดาวตัวร้าย ไชโย้! ไม่มีเจ้ามนุษย์ต่างดาวแล้ว โลกเราก็จะอยู่กันได้อย่างมีความสุขแล้วหล่ะ สนุกเต็มอิ่มกับดินแดนทั้ง 4 เรียบร้อยแล้ว ก็คงถึงเวลาที่เราจะได้พักผ่อนได้แล้วหล่ะค่ะ ยังไม่อยากตื่นจากจินตนาการเลย จะทำยังไงดีน๊า... ว่าแล้วกิจกรรมแห่งความสุขต้องยังไม่หมดแค่นี้ นอกจากบริเวณสวนสนุกแล้ว ดิสนีย์ยังได้สร้างที่พักอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ให้ได้พักผ่อนกันต็มสูตรกับโลกแห่งจินตนาการ ที่จะทำให้แขกทุกคนเคลิบเคลิ้มทั้งเวลาหลับและเวลาตื่นตลอดระยะเวลาการพักผ่อนเลยทีเดียวค่ะ