วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

วัดหลวงพ่อโต ........ ตลาดน้ำบางพลี


ตลาดน้ำโบราณ 140 ปี บางพลี สมุทรปราการ
” ตลาดน้ำบางพลีสมุทรปราการ “ ชื่อนี้หลายอาจบอกว่าพึ่งได้ยินมาไม่นานนี้เอง
ก่อนนั้นเราอาจเห็นหรือได้ยินประเพณีโยนดอกบัวลงบนเรือหลวงพ่อโต ที่แห่ไป
ไปตามคลองสำโรง คลองเก่าแก่ของชุมชนบ้านบางพลี ใกล้วัดบางพลีใหญ่ใน
หรือวัดหลวงพ่อโต
ตามตำนานเล่าขานว่าหลวงพ่อโตสร้างในสมัยเดียวกันกับหลวงพ่อวัดบ้านแหลม
ตำบลดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสาคร และหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา
ซึ่งตามประวัติของพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ 3 องค์นี้เป็นพระที่ลอยมาตามน้ำ
ผ่านมาทางปราจีนบุรี แล้วไปผุดที่ตำบลสัมปทวน แขวงเมืองฉะเชิงเทรา ชาว
บ้านไปพบเข้าจึงเอาเชือกพรวนไปผูกมัดพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้ แล้วช่วยกันฉุด
ลากขึ้น แต่ไม่สามารถจะนำขึ้นมาจากน้ำได้ พระพุทธรูปองค์ใหญ่จึงลอยตามกระ
แสน้ำเรื่อยไป และไปผุดขึ้นที่บ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม ชาวบ้านแหลมจึง
อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม ส่วนองค์เล็กไปผุดขึ้นที่คลองใกล้วัด
บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ชาวบ้านจึงอัญเชิญประดิษฐานไว้ที่วัดบางพลี
ส่วนหลวงพ่อโสธรซึ่งเป็นองค์กลางนั้นผุดขึ้นที่หน้าวัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา

วัดบางพลีใหญ่(ใน)จะมีประเพณีรับบัวเป็นประจำทุกปี โดยแห่หลวงพ่อโตไป
ตามตลองสำโรง ให้ประชาชนที่อยู่ริมฝั่งคลองโยนดอกบัวลงบนเรือหลวงพ่อ
เป็นการบูชาสักการะ หากโยนลงเรือหลวงพ่อโตได้ ก็จะถือว่าเป็นสิริมงคล
ประเพณีโยนบัวนี้ ชาวอำเภอบางพลี กับชาวมอญหรือรามัญอำเภอพระประแดง
ร่วมกันจัดในช่วงต้นเดือนตุลาคมของทุกปี ในขึ้นวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11
รายละเอียดสอบถามได้ที่ อำเภอบางพลี โทร. 0-2337-3490 หรือเทศบาล
ตำบลบางพลี โทร.0-2337-3086

ตลาดน้ำโบราณ 140 ปี ริมคลองสำโรง อำเภอบางพลี เป็นตลาดขายของและ
ร้านอาหารริมน้ำที่มีมานาน อดีตเคยมีความเจริญรุ่งเรือง สมัยที่คนไทยใช้ชีวิต
อยู่ตามริมคลอง และพายเรือจ้ำ เรือแจวเป็นพาหนะ ลำคลองจึงเปรียบเสมือน
เป็นถนนของการสัญจรของคนไทยในอดีต
หลายจังหวัดที่เคยมีตลาดน้ำในลักษณะนี้ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสังคมยุคใหม่
ไปหมดแล้ว แต่คลองสำโรง บางพลี ยังเป็นตลาดน้ำที่มีชีวิต เป็นชีวิตจริงที่ยัง
ดำเนินไปเหมือนเช่นอดีต ในตลาดยังมีสินค้าดั่งเดิม เช่นกระต่ายขูดมะพร้าว
กระทะใบเล็กๆ หมากพลู และของกินกับหมาก ที่คุณยาย คุณย่า ยังนั่งเคี้ยว
หมากให้เห็น พร้อมกับขายของพวกนี้ไปด้วย
ของบางอย่างที่หาดูยากแต่ตลาดที่นี่ยังมีขาย เช่นใต้จุดไฟที่ทำจากน้ำมันดิน
ห่อด้วยเปลือกไม้ สำหรับเป็นเชื้อไฟในการจุดเตาถ่าน หรือสบู่กรดใช้สำหรับซัก
ผ้าให้ขาว รวมทั้งของใช้ในชีวิตประจำวันที่เคยเห็นมาแต่ตอนเด็กๆ
ชีวิตริมคลองสำโรงเป็นสังคมในมุมเล็กๆที่กำลังถูกเบียดบังจากสังคมสมัยใหม่
เพียงข้ามคลองไปฝั่งตรงกันข้าม ก็เป็นห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ห้างใหญ่ที่รู้จักกันดี
ีเป็นภาพสะท้อนให้เห็นความแตกต่างในการดำเนินชีวิตของคนสองฝั่งคลอง
ปัจจุบันชาวบางพลีใหญ่ก็ยังดำเนินชีวิตไปแบบปกติดั่งเดิม อาศัยอยู่ในบ้านไม้
ที่เป็นทั้งบ้านและร้านค้าริมคลอง มีวัดอยู่ใกล้บ้าน มีความเกื้อหนุนจุนเจือกัน
แบบสังคมไทยยุคก่อนๆ มีประเพณีวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านที่ยังช่วยกันรักษา
และเป็นชีวิตจริงที่ยังมีอยู่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อหวังผลในด้านการท่องเที่ยว

ตลาดน้ำโบราณเป็นตลาดแบบชาวบ้านร้านถิ่น ไม่ได้ใหญ่โตนัก เป็นตลาดไม้
เก่าแก่ มีทางเดินเป็นไม้อยู่ริมน้ำ จากเมื่อก่อนที่เคยขายของให้ชาวบ้านโดย
ทางเรือก็ปรับเปลี่ยนมาขายริมทางเดินไม้ที่ทอดยาวไปไกลถึง 500 เมตร
ระหว่างทาง จะเพลิดเพลินกับสินค้าหลากหลาย ทั้งของกินของใช้ ถ้วยโถโอ
ชามแบบเก่าๆ ซึ่งที่อื่นไม่มีให้เห็นแล้ว แต่ที่นี่ยังวางขายกันเต็มร้าน คนอุดหนุน
ก็เป็นชาวบ้านร้านถิ่น รวมทั้งนักท่องเที่ยว
หากได้เดินผ่านร้านขายยา ก็อย่าได้แปลกใจ ที่เห็นตู้ยาเต็มไปด้วยยาไทยล้วนๆ
พวกยาธาตุ ยาขับลม ยาหม่อง ยาดม สารพัดอย่าง วางเรียงรายอยู่เต็มตู้กระจก
ทำให้รู้ว่ายาไทยที่ทำเป็นอุตสาหกรรมนั้นมีมานานแล้ว และมีมากมายหลายชนิด
บางอย่างก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
เมื่อเดินพ้นตลาดมาแล้วก็จะเป็นวัดบางพลีใหญ่(ใน)หรือวัดหลวงพ่อโต หน้าวัด
็มีบริการนั่งเรือชมวิถีชีวิตชาวบ้าน และบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ริมคลอง พร้อมพา
เที่ยววัดอื่นๆที่อยู่ในระแวกเดียวกัน
มาเที่ยวตลาดน้ำโบราณอย่าลืมอุดนุนสินค้าท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ปลาสลิดจาก
อำเภอบางบ่อ หากเจอร้านขายปลาสลิด แนะนำว่าควรซื้อไว้เลย เพราะหากหวัง
จะซื้อตอนขากลับ ของอาจหมดเสียก่อน
สำหรับร้านอาหาร และของซื้อของฝากที่มีชื่อของตลาดน้ำ ที่น่าสนใจได้แก่
- ร้านกล้วยแขก สูตรดั่งเดิม ใครทานแล้วติดใจทุกคน
- ร้านขนมชั้นแม่บุญศรี ได้รับรางวัลมาแล้วหลายรายการ
- ร้านก๋วยเตี๋ยวหมู บอกว่าขายกันมาถึง 48 ปีแล้ว สูตรเด็ดอยู่ตรงน้ำซุบอร่อย
- ร้านเป็ดพะโล้นายตี๋ นี่ก็บอกว่าเป็นร้านเก่าแก่ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
- ร้านแม่ปราณี ขายปลาดุกแผ่น ปลาดุกสะดุ้งแดด นี่ก็ได้รับรางวัล OTOP
- ร้านขนมจีนป้ามล บอกว่ามีชื่อ ใครมาก็ต้องอุดหนุน
ก็เอามาบอกกันพอเป็นสังเขป
หากมาเที่ยวสนามบินสุวรรณภูมิ ก็แนะนำให้มาแวะตลาดน้ำบางพลีด้วย มาย้อน
ยุค กับตลาดน้ำโบราณที่หาดูได้ยากยิ่ง ใช้เส้นทางที่เลียบรั้วรันเวย์ของสนามบิน
ที่มีป้ายบอกทางไปถนนบางนา – ตราด เส้นนี้จะเห็นสนามบินสุดลูกหูลูกตาสวย
งามมาก จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเลียบถนนบางนา-ตราด (ดูแผนที่ประกอบ) เลยมาอีก
หน่อยก็จะมีสี่แยกเล็กๆ ซ้ายมือไปบางพลี จุดตรงแยกนี้ให้สังเกตุมีห้างโลตัสอยู่
ฝั่งที่จะเลี้ยวซ้าย หรือสังเกตุป้ายโรงพยาบาลจุฬารัตน์ ขับไปจนสุดถนนแล้วเลี้ยว
ซ้ายออกถนนเทพารักษ์ โดยมีจุดหมายคือห้างบิ๊กซี เมื่อถึงบิ๊กซีแล้วก็ขับรถไป
จอดใต้อาคาร จากนั้นก็เดินออกไปหลังห้างด้านที่ไม่มีรั้วจะเห็นคลองเล็กๆ
นั้นแหละคลองสำโรง มองเห็นร้านอาหารริมคลองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นแถวเป็น
แนวจากนั้นให้ข้ามเรือที่ผูกโยงเป็นสะพานได้เลย

ตลาดน้ำอัมพวา


อัมพวาเป็นตลาดน้ำยามเย็นจะมีทุกวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.00 -22.00 น.วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 12.00-22.00น. ตลาดน้ำโดยทั่วไปมักจะจัดขึ้นในเวลากลางวัน แต่ตลาดน้ำยามเย็น ที่อัมพวาแห่งนี้ จะจัดขึ้นในช่วงงเวลาเย็นเรื่อยไปจนถึงเวลาพลบค่ำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดในลักษณะเช่นนี้ ในตอนเย็นชาวบ้านจะเริ่มทยอยพายเรือนำสินค้าหลากหลายนานาชนิด อาทิ อาหาร ผลไม้ พืชผัก ขนม ของกินของใช้ มาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือคนในท้องถิ่นที่สัญจรไปมาที่ตลาดอัมพวา ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตของชุมชนริมน้ำ ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถที่จะหาซื้ออาหารมานั่งรับประทาน บริเวณริมคลองอัมพวาติดกับตลาดน้ำ ซึ่งได้มีการจัดสถานที่ไว้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จุดมุ่งหมายของอัมพวาที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางไปเที่ยวก็คือ การได้ริ้มชิมรสชาติอาหารต่างๆ ที่พ่อค้าแม่ขายมีวางขายกันไม่ว่าจะเป็น "กระเพาะปลาอัมพวา ก๋วยตี๋ยวโบราณอัมพวา ข้าวเหนียวมะม่วงอัมพวา หอยทอดยอดชายอัมพวา ทอดมันสมุนไพรหัวปรีอัมพวา วังแสงกาแฟโบราณอัมพวา ปอเปี๊ยะอัมพวา ร้านข้าวราดแกงหัวมุมอัมพวา น้ำพร้าวอัมพวา เฉาก๊วยอัมพวา" และอีกมากมายหลายอย่างที่คนอัมพวาเค้านำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้อย่างส้มโออัมพวา ลิ้นจี่อัมพวา มากมายหลายอย่างให้เลือกของแห้ง ของคาว ของสด อิ่มหนำสำราญกันไปเลย แต่จะให่อร่อยต้องกินกันตรงนั้นเลย เบียดกันนิดเบียดกันหน่อยอบอุ่นดีครับ เพราะบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านเลย อยากกินอะไรก็ตะโกนสั่งตรงนั้น นั่งกินตรงนั้นได้เลย กินอิ่มแล้วก็ลุกเพื่อให้ คนข้างหลังจะได้กินมั่ง วนเวียนกันไปจะได้ทั่วถึง
ตลาดน้ำอัมพวานี้เพิ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมาไม่นานนี้เอง เนื่องจากเป็นตลาดที่พ่อค้าแม่ขายที่มาขายของกินบ้างของฝากบ้าง ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการที่เกษียรราชการแล้ว จึงออกมาขายขนมบ้าง ขายข้าวแกงบ้าง เนื่องจากการที่ใช้ชีวิตริมคลอง วิถีชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับคลอง ใช้น้ำคลองไม่ว่าจะเป็นล้างจานชาม อาบน้ำ หาปลา ตกกุ้ง จากเดิมที่เริ่มมีร้านขายไม่มากนัก จากไม่กี่ร้าน จนเริ่มเป็นตลาดที่ชาวอัมพวามารวมตัวกันเพื่อเป็นตลาดตอนเย็น เรือพ่อค้าแม่ค้าต่างๆไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวคุณตาที่อายุอานามปาเข้าไป 70 ปีแล้ว
เมื่อก่อนพายเรือขายทุกวันมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ตอนนี้คุณตาก็มารวมตัวที่ตลาดยามเย็นกับเค้าด้วย ราคาที่ขายที่ตลาดอัมพวานี้ก็ไม่แพงนัก เนื่องจากเป็นตลาดแบบชาวบ้านอยู่ชาวบ้านกิน ราคาจึงไม่สูงเลย อย่างก๋วยเตี๋ยวของคุณตาราคาก็อยู่ที่ชามละ 10 บามเท่านั้น ราคาย่อมเยาว์แถมได้แบบเต็มๆชาม 10 บาทแบบอิ่มไปเลย จากเป็นที่รู้จักของชาวบ้านริมคลองอัมพวา เริ่มแพร่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น บอกเล่ากันไปปากต่อปาก ทำให้ชื่อเสียงตลาดอัมพวาเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเป็นที่สนในของสื่อหลายๆสื่อ

ที่อัมพวาแห่งนี้มีเสน่ห์ในตัวเองเนื่องจากอยู่แบบพอเพียง นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นๆ จึงทำให้ตลาดน้ำอัมพวาโด่งดังไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตลาดน้ำยามเย็นที่มีของอร่อยๆให้เลือกมากมายหลายอย่างแล้วยังมีวิถีชีวิตริมคลอง บ้านเรือนที่เก่าแก่นับร้อยปี มีวัฒนธรรมที่สวยงาม มีโบสถ์เก่าแก่ที่เป็นสถานที่สำคัญของไทย และเป็น UNSEEN IN THAILAND นั่นก็คือวัดบางกุ้ง ที่มีรากต้นโพธิ์หุ้มโบสถ์เก่าแก่ไว้ เพราะเราสามารถนั่งเรือเที่ยวชมวัดและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆได้ด้วย เพราะที่ตลาดอัมพวาเค้าจะมีให้เลือกเลยว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน วัดอะไร วังมัจฉา หรือจะไปดูวิถีชาวสวน การปลูกพืชผักผลไม้
ที่อัมพวาเค้ามีผลไม้ขึนชื่อหลายอย่างแต่ที่เด่นที่สุดก็คือ ลิ้นจี่อัมพวา ที่เป็นที่รู้จักไปทัวโลก มีรสชาติหวาน และมีเมล็ดที่เล็กมากและมีเนื้อลิ้นจี่เยอะ เพราะหากจะปลูกได้รสชาติที่ดีได้ต้องปลูกที่อัมพวา เพราะเคยมีคนลองเอาไปปลูกที่อื่น รสชาติไม่ได้เหมือนปลูกที่อัมพวา(ข้อมูลจากชาวบ้านอัมพวาคะ)และที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิมก็คือการนั่งเรือชมหิ่งห้อยนับพันๆตัว เป็นเสน่ห์ที่หาได้ยากมากในเมืองไทย เพราะที่อัมพวามีต้นโกงกางเยอะ และหิ่งห้อยเองก็อาศัยอยู่ต้นโกงกางนี้เอง นักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะนั่งเรือชมหิ่งห้อย ประกายความงามยามค่ำคืน หรือล่องเรือท่องเที่ยวตามลำน้ำแม่กลอง ก็สามารถติดต่อเรือได้ ติดต่อ โทร.089-4154523
แต่เสน่ห์ที่แท้จริงก็คือวิถีชีวิตชาวบ้านที่ใช้ชีวิตริมคลองที่มีมาช้านานนั่นเอง หมูหิน.คอม อยากให้ชาวอัมพวารักษาขนบธรรมเนียมที่มีมาช้านานให้อยู่ยั่งยืน เพื่อเมืองไทยจะได้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เพราะในโลกนี้ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือเมืองไทย ที่มีวัฒนธรรมที่สวยงามมายาวนาน อยู่แบบพอเพียง…

เอทานอล


เอทานอล (ethanol) หรือเอทิลแอลกอฮอล์ (ethyl alcohol) เป็นเชื้อเพลิงเหลวที่ได้จากการย่อยสลายแป้งและน้ำตาลด้วยเอนไซม์ สูตรเคมีของเอทานอลคือ C2H5OH ในการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์เบนซิน ต้องทำการกลั่นเอทานอลจนมีความบริสุทธิ์สูงถึงร้อยละ 99.5 จึงสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์เบนซินได้ หากเอทานอลที่ใช้มีน้ำปะปนอยู่มาก จะเกิดปัญหาทำให้เครื่องยนต์น็อก และชิ้นส่วนและอุปกรณ์ของเครื่องยนต์เกิดสนิม
วัตถุที่ใช้ผลิตเอทานอล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

1. วัตถุดิบประเภทแห้ง ได้แก่ ผลผลิตทางการเกษตรพวกธัญพืช เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง และพวกพืชหัว เช่น มันสำปะหลัง มันฝรั่ง มันเทศ เป็นต้น

2. วัตถุดิบประเภทน้ำตาล ได้แก่ อ้อย กากน้ำตาล บีตรูต ข้าวฟ่างหวาน เป็นต้น

3. วัตถุดิบประเภทเส้นใย ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากผลผลิตทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ชานอ้อย ซังข้าวโพด รำข้าว เศษไม้ เศษกระดาษ ขี้เลื่อย วัชพืช รวมทั้งของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานกระดาษ เป็นต้น
แม้จะมีวัตถุดิบอยู่หลายชนิดที่สามารถนำมาผลิตเป็นเอทานอลได้ แต่จะมีเพียงไม่กี่ชนิดที่มีความเหมาะสมในการผลิตเป็นเอทานอล โดยมีหลักเกณฑ์ที่ควรพิจารณาคือ

- วัตถุดิบมีปริมาณเพียงพอสำหรับป้อนสู่โรงงานได้ตลอดปี หาได้ง่าย ราคาถูก
- สามารถผลิตเอทานอลต่อหน่วยของวัตถุดิบและต่อหน่วยของพื้นที่เพาะปลูกได้ในปริมาณสูง
- พลังงานสมดุลของระบบเป็นบวก
- วัตถุดิบนั้นจะต้องไม่แย่งอาหารของมนุษย์

สำหรับประเทศไทยวัตถุดิบที่ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติว่ามีความเหมาะสมที่จะนำมาผลิตเอทานอลมีเพียง 3 ชนิดเท่านนั้น ได้แก่ อ้อย กากน้ำตาล และมันสำปะหลังสด
เอทานอลถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เช่น ใช้เป็นเครื่องดื่มแอกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ และเบียร์ ใช้ในอุตสาหกรรมยา ใช้เป็นตัวทำละลายในผลิตภัณฑอุตสาหกรรม เช่น สี แล็กเกอร์ ยาเคลือบน้ำมันและขี้ผึ้ง (ครีมขัดรองเท้า) เรซิน ใช้เป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์สารเคมีและชีวเคมี ใช้เป็นสารเพิ่มค่าออกเทนในน้ำมันเบนซินที่เรียกว่าแก๊สโซฮอล์ ใช้เป็นอาหาร เช่น น้ำส้มสายชู เจลาติน ใช้ทางด้านการแพทย์ เช่น ใช้เช็ดแผล ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ใช้เป็นตัวรีเอเจนต์ในห้องปฏิบัติการและอื่นๆ เป็นต้น

สุนัขที่ติดอันดับ

ปอมเมอราเนี่ยน

เริ่มปรากฏเด่นชัดในดินแดนที่มีชื่อว่า ปอมเมอราเนี่ยน ในประเทศเยอรมันและทางตอนเหนือของยุโรปซึ่งอยู่ติดกับทะเลสาบบอลติก นิยมเลี้ยงปอมเมอราเนี่ยนไว้เพื่อคอยเฝ้าและต้อนฝูงแกะ
ความนิยมปอมเมอราเนี่ยนเริ่มเข้ามาในประเทศอังกฤษเมื่อปี พศ. 2343 โดยได้รับพระเมตตาจากพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ทรงรับเลี้ยงไว้
ผู้เชี่ยวชาญในยุคนั้นต่างทุ่มเทความสามารถในการผสมให้ได้พันธุ์สุนัขที่มีขนาดเล็กลงจนเหลือ 3 ปอนด์ และยุคหลังพัฒนาจนมีนำหนักอยู่ในช่วงระหว่าง 4-5 ปอนด์
มาตรฐานพันธุ์
ลักษณะทั่วไป กระชับได้สัดส่วนที่เหมาะสม โครงสร้างของลำตัวสั้น มองด้านข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นิสัยร่าเริง อยากรู้อยากเห็น กล้าหาญ มีความมั่นใจในตัวเอง แววตาและสีหน้าแสดงความฉลาดและหลักแหลม



ส่วนหัว ได้สัดส่วน ปากเป็นรูปลิ่มแต่ปลายจมูกไม่ถึงกับยื่นแหลมเหมือนยอดโดม หน้าคล้ายสุนัขจิ้งจอก ช่วงต่อระหว่างจมูกกับศีรษะควรมีมุม STOPแลเห็นเด่นชัด
ฟัน ควรขบกันได้แนบสนิทเหมือกรรไกร เมื่อมีอายุเกินกว่า 3 ปี โดยมากฟันจะหลุดร่วงไป
ตา สดใสสร่าเริง สีเข้ม ขนาดไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป มีรูปร่างคล้ายผลอัลมอนด์ ตาทั่ง 2 ข้างไม่ควรอยู่ห่างหรือชิดกันมากจนเกินไป
หู มีขนาดเล็ก ใบหูต้องตั่งชันทั้ง 2 ข้าง อยู่บนส่วนสูงสุดของกะโหลกศีรษะ
คอและไหล่ คอควรสั่น เยื้องไปทางกด้านหลังของหัวไหล่เล็กน้อย เพื่อช่วยให้คอสุนัขเชิดสูงอยู่ตลอดเวลา ลักษณะเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะของปอมเมอราเนี่ยน
ลำตัว แผ่นหลังต้องสั้นกระชับ เส้นหลังตรงเป็นแนวรสาบขนานกับพื้น ลำตัวแลดูกลมกลืน อกควรลึก
ขา ขาคู่หน้าต้องตั้งตรงและขนานกัน ข้อเท้าต้องไม่แบะหรือถ่างออกจากกัน การยืนที่ดีควรยืนอยู่บนนิ้วเท้า ลักษณะการยืนดูแล้วมั่นคง

แฟชั่นหน้าหนาว

แฟชั่นหน้าหนาว ที่สาว ๆ ไม่ควรพลาด









วิธีทําให้ผิวขาว

วิธีทําให้ผิวขาว 12 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง
ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ
อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...
1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง
2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม
3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น
4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้
5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า
6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง
7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย
9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน
10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ
11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว
12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก
วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม
วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ
วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ
วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

7 เคล็ดลับกินอย่างไรไม่ให้อ้วน

1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น


2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น


3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น




5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น


6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน


7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล


“การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ใครจะเลือกปฏิบัติแบบใด แต่หลักง่ายๆ คือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อารมณ์ที่สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ”