มหายุค เมโสโซอิค (Mesaozoic Era) 65-225 ล้านปี ในยุคนี้มี 3 ยุค คือ ยุค ไตรแอสสิก ยุคจูราสสิก ยุคครีเตเซียส และยุค ซีโนโซอิกในยุคไตรแอสสิกนี้ สภาพอากาศในขณะนั้นจะมี สภาพร้อนและแล้งมากขึ้นกว่าในอดีต ทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยในเขตร้อนสามารถเจริญเติบโตได้ ดีมาก จนกระทั่ง "ไดโนเสาร์ ตัวแรก"ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ ไดโนเสาร์กลุ่มแรกที่ได้กำเนิด ขึ้นมาจะมีขนาดเล็ก เดิน 2 เท้า และมีลักษณะพิเศษ คือ เท้ามีลักษณะคล้ายกับเท้าของนก ต่อมา ในยุคจูราสสิกนี้ จัดว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก บรรดาพืชพรรณธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ไดโนเสาร์จำนวนมากขยายพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีร่างกายใหญ่โต ซึ่งส่วนใหญ่จะกินพืช เป็นอาหาร และยุคนี้ยังได้ ถือกำเนิด นก ขึ้นมาเป็นครั้งแรกอีกด้วย ต่อมาในยุคครีเตเชียสนี้ จัดว่า เป็นยุคที่ไดโนเสาร์นั้นรุ่งเรื่องที่สุด เพราะยุคนี้ไดโนเสาร์ ได้มีการพัฒนาพันธุ์ออกมาอย่างมากมาย
ยุคไตรแอสสิก
การครอบครองโลกของไดโนเสาร์ในยุคนี้โลกถูกปกคลุมด้วยป่าไม้จำนวนมาก พืชตระกูลที่ใช้สปอร์ในการขยายพันธ์ประสบความสำเร็จและมีวิวัฒนาการถึง ขั้นสูงสุด ในป่ายุคไตรแอสสิกช่วงแรกนั้นมีสัตว์ใหญ่ไม่มากนักสัตว์ปีกที่ใหญ่ ที่สุดคือแมลงปอยักษ์ที่ปีกกว้างถึง2ฟุตและได้ชื่อว่าเป็นนักล่าเวหา เพียงชนิด เดียวของยุคนี้ เนื่องจากในช่วงปลายของยุคเปอร์เมียนเกิดการสูญพันธุ์ครั้ง ใหญ่ของสิ่งมีชีวิตทำให้พวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมจำนวนมาก สูญ พันธุ์ไปพวกที่เหลือได้สืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงต้นยุคไตรแอสสิกในกลุ่มสัตว์ เหล่านี้เจ้าซินนอกนาตัสเป็นสัตว์นักล่าที่น่าเกรงขาม ที่สุด ในหมู่พวกมันและใน ช่วงนี้เองไดโนเสาร์ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยพวกมันวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน ที่เดินด้วยขาหลังอย่างเจ้า ธีโคดอน ซึ่งถือกันว่าเป็นบรรพบุรุษของไดโนเสาร์ การสูญพันธ์ครั้งใหญ่ในยุคเปอร์เมียนทำให้พวกมันสามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้ อย่าง มากมายในช่วงต้นยุคไตรแอสสิก และกลายมาเป็นคู่แข่งของพวกสัตว์ เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลือ ไดโนเสาร์ในยุคแรกเป็นพวกเดินสองขา เช่น พลาทีโอซอร์ ไดโนเสาร์กินพืชคอยาวที่เป็นบรรพบุรุษของพวก ซอโรพอด หรือเจ้าซีโลไฟซิส บรรพบุรุษของพวกกินเนื้อ นักล่าสองขาความสูง 1 เมตร การที่มันสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยสองขาหลังทำให้พวกมันมีความคล่องตัวใน การล่าสูงกว่า ซินนอกนาตัส หรือ อีรีโทรซูคัสที่ยาวถึง 15 ฟุตซึ่งมีกรามขนาด ใหญ่และแข็งแรง นักล่าเหล่านี้ได้เปรียบซินนอกนาตัสและสัตว์เลื้อยคลานกึ่ง เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆทำให้พวกนี้ต้อง วิวัฒนาการให้มีขนาดเล็กลงเพื่อที่จะ หลบหนีพวกไดโนเสาร์ และหลีกทางให้เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ก้าวมาครองโลกนี้แทนในที่สุด
ยุคจูแรสสิก
ไดโนเสาร์ครอบครองโลกได้สำเร็จในตอนปลายยุคไตรแอสสิก จนเมื่อเข้าถึงยุคจูราสสิก พวกมันก็ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลก ในยุค นี้ผืนแผ่นดินถูกปกคลุมด้วยพืชขนาดยักษ์จำพวกสนและเฟิร์น อย่างไรก็ตามได้เริ่มมีพืชดอกปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงกลาง ของยุคนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มของการขยายพันธุ์รูปแบบใหม่ของพวก พืช ในยุคจูราสสิกนับได้ว่าเป็นยุคที่พวกไดโนเสาร์คอยาวตระกูลซอ โรพอด(Sorropod)ขยายเผ่าพันธุ์อย่างกว้างขวางพวกมันเป็น ไดโนเสาร์ ขนาดยักษ์ สายพันธุ์ที่รู้จักกันดีก็คือ บราคคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ดิโพลโดคัส(Diplodocus) และอะพาโทซอรัส (Apatosaurus)หรืออีกชื่อคือบรอนโตซอรัสนอกจากนี้ยังมีชนิด อื่นๆอีกมากมายสัตว์ยักษ์เหล่านี้ครั้งหนึ่งถูกมองว่า เป็นสัตว์ที่โง่ และไม่อาจป้องกันตัวจากสัตว์นักล่าได้ทว่าในปัจจุบันนักโบราณคดี ชีววิทยา(paleontology)เชื่อว่าพวกมันใช้หางที่หนา หนักศัตรูที่มา จู่โจมซึ่งนับว่าเป็นการตอบโต้ที่น่ายำเกรงไม่น้อยและเพราะหางที่ยาว และมีน้ำหนักมากนี่เองที่ทำให้พวกมันต้อง มีคอยาวเพื่อสร้างสมดุลย์ ของสรีระของมัน
ยุคคริเตเซียส
ยุคครีเตเชียสเป็นยุคที่ต่อจากยุคจูแรสสิก สัตว์เลื้อยคลานเจริญมากในยุคนี้ ที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีการค้นพบที่จังหวัดฟุกุชิมาได้แก่ พวกไดโนเสาร์คอยาว โมซาซอรัส เป็นพวกกิ้งก่าทะเล อาเครอน เป็นพวกเต่าอาศัยอยู่ในทะเล บนท้องฟ้าก็มี เคอาร์โคโทรุสซึ่งมีขนาดปีกยาวถึง 15 เมตร บินอยู่มากมาย ยุคนี้เป็นยุคที่ไดโนเสาร์มีการพัฒนาตัวเองอย่างมาก พวกซอริสเชียนที่กินเนื้อ มีตัวขนาดใหญ่ได้แก่ อาร์บาโตซอรัส ไทแรนโนซอรัสปรากฎในยุคนี้มีลักษณะ ดังนี้ ไทแรนโนซอรัสนั้นมีเล็บที่ขาหลังใหญ่โตและมีฟันแหลมยาวประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อใช้จับเหยื่อพวกซอริสเชียน ที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหารก็ได้แก่ ออนิโตมิมัส พวกออร์นิธิสเชียนมักจะเป็นพวกกินพืช พวกที่ถูกค้นพบครั้งแรก ก็ได้แก่ อิกัวโนดอน แล้วก็พบ ฮิพุชิโรโฟดอน และ ฮาโดโรซอรัส พวกออร์นิธิสเชียน ได้แก่ ไทรเซอราทอปส์ สเตโกซอรัส แองคีลอซอรัส พบเจริญอยู่มากมาย แต่ว่าก่อน จะหมดยุคครีเตเชียส นั้นอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไดโนเสาร์ บางพวกเริ่มตายลงและ สูญพันธุ์ หลังจากไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปแล้ว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีบทบาทขึ้นมาบนโลก
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันแม่ 12 สิงหาคม^^
จุดเริ่มต้นเรื่องราวปวดร้าวยิ่ง
ได้แต่นิ่งเกินจำหลักวาดอักษร
ครูให้เขียนการบ้านเรื่องมารดร
หนูสะท้อนทุกครั้ง...หลั่งน้ำตา
จักให้เขียนเริ่มต้นจนใจแท้
คำว่า “ แม่ ”..ยิ่งใหญ่จริงไหมหนา
ตั้งแต่จำความได้ในจินตนา
ภาพใบหน้า..แม่นั้นเป็นฉันใด
ตั้งแต่หนูลืมตามาดูโลก
พบแต่โศก..หดหู่ครูรู้ไหม
รสสัมผัสอันอบอุ่นที่คุ้นใจ
เป็นอย่างไรไม่รู้..หนูไม่มี
เห็นคนอื่นพร้อมพรั่งทั้งแม่พ่อ
เฝ้าพะนอเอาใจให้สุขี
ยามหกล้มช่วยยื้อยุดฉุดชีวี
ปลอบฤดีเรียกขวัญพลันกลับคืน
เฝ้าประคองสองมือแม่ดูแลลูก
รักพันผูกห่วงใยมิใช่ฝืน
ต่างกับหนูยามช้ำต้องกล้ำกลืน
ก้อนสะอื้นในอกจนตกใน
ไร้คำปลอบยามหม่นต้องทนทุกข์
ไร้คำปลุกยามพรั่นหวาดหวั่นไหว
ไร้ที่พึ่งพักพิงอิงทางใจ
ไร้สิ่งใดที่ใครเขามีกัน..
ยามจะนอนไร้ลำนำบทขับกล่อม
ที่รายล้อมคือความเหงาเศร้าโศกศัลย์
กอดตัวเองอุ่นกายในบางวัน
แต่ใจนั้นหนาวอยู่มิรู้คลาย
แทนความนัยตอกย้ำเด็กกำพร้า
คือน้ำตาหยาดรินมิสิ้นสาย
อยากจะเขียนเสกสรรค์คำบรรยาย
สื่อความหมายคล้ายสมองต้องตีบตัน
จึงยากเค้นอักษรป้อนความหมาย
ที่เรียงรายคือน้ำตามาปลอบขวัญ
แทนหยาดหมึกจารึกไว้นัยสำคัญ
ถึงแม่นั้น..คือน้ำตาที่พร่านอง
จารจากใจถึงแม่จ๋า..ว่าลูกรัก
ชาตินี้ลูกบุญน้อยนักจักสนอง
หากชาติหน้าถ้ามีให้สมปอง
ทุกครรลองพร้อมหน้ากันสวรรค์ดล
กระดาษเปล่าเล่าความด้วยน้ำตา
แทนอักษราเรียงความติดตามผล
ส่งคืนครูด้วยใจหากได้ยล
หนูหมองหม่นทุกทีที่เรียงความ
I see you working hard for me
And wonder what it means:
Whether I will do the same
And give up my own dreams
To offer someone else my world,
A stranger from my womb,
And say: Here, take my life,
So you, not I, can bloom.
I often wonder at the depth
Of that cool sacrifice;
I know it can't be "just because,"
Or simply to be nice.
It is so awesome, I can't think
How I could make that choice,
Except I see something in you
That gives my own heart voice.
I see sometimes a happiness
Amid the stressed-out day
That no one else can hope to know
In any other way.
I feel it when you look at me
And understand sometimes
That things I do, I do for two,
And then your hard life shines.
And when I give you grief, I know
That all the bitter pain
Between a mom and growing child
Is simply like the rain
That alternates with sunny days,
Passion without end,
While underneath is more of life
Than we can comprehend.
And then I know, perhaps, why I
Like you might be so moved
To give my life to someone else,
And know that I have loved.
ได้แต่นิ่งเกินจำหลักวาดอักษร
ครูให้เขียนการบ้านเรื่องมารดร
หนูสะท้อนทุกครั้ง...หลั่งน้ำตา
จักให้เขียนเริ่มต้นจนใจแท้
คำว่า “ แม่ ”..ยิ่งใหญ่จริงไหมหนา
ตั้งแต่จำความได้ในจินตนา
ภาพใบหน้า..แม่นั้นเป็นฉันใด
ตั้งแต่หนูลืมตามาดูโลก
พบแต่โศก..หดหู่ครูรู้ไหม
รสสัมผัสอันอบอุ่นที่คุ้นใจ
เป็นอย่างไรไม่รู้..หนูไม่มี
เห็นคนอื่นพร้อมพรั่งทั้งแม่พ่อ
เฝ้าพะนอเอาใจให้สุขี
ยามหกล้มช่วยยื้อยุดฉุดชีวี
ปลอบฤดีเรียกขวัญพลันกลับคืน
เฝ้าประคองสองมือแม่ดูแลลูก
รักพันผูกห่วงใยมิใช่ฝืน
ต่างกับหนูยามช้ำต้องกล้ำกลืน
ก้อนสะอื้นในอกจนตกใน
ไร้คำปลอบยามหม่นต้องทนทุกข์
ไร้คำปลุกยามพรั่นหวาดหวั่นไหว
ไร้ที่พึ่งพักพิงอิงทางใจ
ไร้สิ่งใดที่ใครเขามีกัน..
ยามจะนอนไร้ลำนำบทขับกล่อม
ที่รายล้อมคือความเหงาเศร้าโศกศัลย์
กอดตัวเองอุ่นกายในบางวัน
แต่ใจนั้นหนาวอยู่มิรู้คลาย
แทนความนัยตอกย้ำเด็กกำพร้า
คือน้ำตาหยาดรินมิสิ้นสาย
อยากจะเขียนเสกสรรค์คำบรรยาย
สื่อความหมายคล้ายสมองต้องตีบตัน
จึงยากเค้นอักษรป้อนความหมาย
ที่เรียงรายคือน้ำตามาปลอบขวัญ
แทนหยาดหมึกจารึกไว้นัยสำคัญ
ถึงแม่นั้น..คือน้ำตาที่พร่านอง
จารจากใจถึงแม่จ๋า..ว่าลูกรัก
ชาตินี้ลูกบุญน้อยนักจักสนอง
หากชาติหน้าถ้ามีให้สมปอง
ทุกครรลองพร้อมหน้ากันสวรรค์ดล
กระดาษเปล่าเล่าความด้วยน้ำตา
แทนอักษราเรียงความติดตามผล
ส่งคืนครูด้วยใจหากได้ยล
หนูหมองหม่นทุกทีที่เรียงความ
I see you working hard for me
And wonder what it means:
Whether I will do the same
And give up my own dreams
To offer someone else my world,
A stranger from my womb,
And say: Here, take my life,
So you, not I, can bloom.
I often wonder at the depth
Of that cool sacrifice;
I know it can't be "just because,"
Or simply to be nice.
It is so awesome, I can't think
How I could make that choice,
Except I see something in you
That gives my own heart voice.
I see sometimes a happiness
Amid the stressed-out day
That no one else can hope to know
In any other way.
I feel it when you look at me
And understand sometimes
That things I do, I do for two,
And then your hard life shines.
And when I give you grief, I know
That all the bitter pain
Between a mom and growing child
Is simply like the rain
That alternates with sunny days,
Passion without end,
While underneath is more of life
Than we can comprehend.
And then I know, perhaps, why I
Like you might be so moved
To give my life to someone else,
And know that I have loved.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)