วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันพ่อ 5 ธันวามหาราช วันพ่อแห่งชาติ




ทุกบุปผา มาลัยคือใจราษฎร์
ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสิน
พระ คือ บิดาข้าแผ่นดิน
ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร
ลุ ๕ ธันวามหาราช
"วันพ่อแห่งชาติ" คือองค์อดิศร
พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร
พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน


5 ธันวา วันพ่อ ก่อเกิดสุข สร้างเสริมลูก เผ่าไทย ขยายผล
ลูกขอกราบ แทบเท้า เอามงคล ลูกทุกคน รักพ่อ ขอแทนคุณ
งานพ่อหนัก ลูกประจักษ์ ในดวงจิต ขออุทิศ กายใจ สนับสนุน
ลูกทุกคน รักพ่อ พร้อมเทิดทูน ขอเนื้อบุญ จงบันดาล ผสานใจ
ทั่วแผ่นดิน ถิ่นแคว้น แดนเหนือใต้ ทรงห่วงใย เสริมสร้าง ทางสดใส
ให้รักษ์น้ำ รักษ์ดิน ตราบสิ้นใจ ขาดสิ่งใด ก็ไร้ค่า พาเศร้าตรม
เมื่อดินดำ น้ำชุ่ม ไม่กลุ้มจิต สร้างชีวิต เสริมชีวา พาสุขสม
สุขภาพดี ถ้วนหน้า ธันวาคม ชาวโลกชม พ่อไทย จากใจจริง


วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต
นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม


ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ



วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว1.ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ

1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ
4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันต้านเอดส์โลก วันเอดส์โลก (1 ธันวาคม)

วันต้านเอดส์โลก วันเอดส์โลก1 ธันวาคม ของทุกปี

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดเอา วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีเป็น"วันโลกต้านเอดส์" (WORLD AIDS DAY) และในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ถือว่า เป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก

ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2532 ถือว่าเป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์หลายรูปแบบพร้อมกันทั่วโลก

โดยตั้งความหวังไว้ว่า
1.จะพยายามหยุดยั้งโรคเอดส์
2.ให้ความเห็นใจ ห่วงใย ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์
3.ให้ทุก ๆ คนได้รู้เรื่องโรคเอดส์

จากการที่องค์การอนามัยโลก ได้ให้ความสำคัญของโรคเอดส์ดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่มีความรุนแรง มีผลกระทบต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมและต่อประเทศชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย

โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome) AIDS

A = Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด หรือไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง ความเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการของโรค ซึ่งมีอาการหลายลักษณะตามระบบต่าง ของร่างกาย

โรคเอดส์ (AIDS) หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เอชไอวี (HIV) ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้กันต่ำลงเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกไวรัสทำลายและเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาซ้ำเติมในภายหลัง (เรียกว่าโรคฉวยโอกาส) เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ
เชื้อไวรัสเอดส์นี้มีหลายสายพันธุ์

สายพันธุ์หลักดั้งเดิม ได้แก่ เอชไอวี-1 (HIV-1) ซึ่งแพร่ระบาดในแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา กลาง
สายพันธุ์เอชไอวี-2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก นอกจากนั้นยังมีสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ อีกมากมายตามเวลาที่ผ่านไป ทั้งนี้เนื่องจากเชื้อไวรัสเอดส์นี้สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย
อาการติดเชื้อเอดส์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1
กลุ่มผู้ที่ตรวจพบเชื้อไวรัสเอดส์แต่ยังไม่ปรากฎอาการผิดปกติแต่อย่างใด บุคคลกลุ่มนี้จัดเป็นพาหะนำโรคซึ่งสามารถแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้อย่างไม่จำกัดจำนวนนับว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ เพราะผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป็นเวลานาน หากไม่มีการตรวจพบเชื้อจะไม่มีทางทราบได้เลย ว่าบุคคลนี้มีเชื้อไวรัสเอดส์อยู่ในร่างกาย จนกว่าจะมีอาการป่วยปรากฎออกมาให้เห็น

ระยะที่ 2
เป็นอาการที่พบได้ก่อนที่จะปรากฎอาการป่วยเป็นโรคเอดส์ (AIDS-Relate Complex) หรืออาจเรียกว่า กลุ่มอาการ ARC หมายถึง กลุ่มที่มีอาการ จะสังเกตได้จากอาการเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุในระยะนี้สามารถตรวจพบภูมิคุ้มกันในเลือดของผู้มีอาการนำ หรืออาจจะสังเกตลักษณะของอาการได้ดังนี้
1.มีไข้สูงเกิน 37.8 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานานไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
2.น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 4.5 กิโลกรัม หรือมากว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวเดิมภายใน 2 เดือน
3.ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายหลายแห่งบวมโตนานกว่า 3 เดือน
4.อุจจาระร่วงเรื้อรังนาน 1-3 เดือน
5.เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีเหงื่อออกตอนกลางคืน และพบว่าร้อยละ 20 ของกลุ่ม ARC จะมีอาการลุกลามไปเป็นโรคเอดส์ในเวลาต่อมา
6.แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งจะไม่มีเรี่ยวแรงและทำงานไม่ประสานกัน

ระยะที่ 3
เป็นระยะที่กลุ่มผู้ป่วยจะปรากฎอาการของโรคเอดส์ซึ่งอาการในระยะนี้แบ่งตามอาการที่ปรากฏออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือการติดเชื้อชนิดฉวยโอกาส และอาการของโรคมะเร็ง
กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์ สามารถแยกออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1.กลุ่มมีเพศสัมพันธ์ผิดธรรมชาติหรือสำส่อนทางเพศ เช่น กลุ่มรักร่วมเพศชาย กลุ่มรักต่างเพศ
2.กลุ่มผู้ติดยาเสพติด
3.กลุ่มที่รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด
4.กลุ่มที่ได้รับเลือดจากมารดา

ฝนดาวตก ฝนดาวตกสิงโต ฝนดาวตกลีโอนิดส์

ฝนดาวตก 2552 เนื่องจากวันที่17/18พฤศจิกายน2552นี้จะเกิดฝนดาวตกสิงโตหรือเรียกอีกอย่างว่าฝนดาวตกลีโอนิดส์ นักดาราศาสตร์ เผยปีนี้มีลุ้นได้ชมฝนดาวตกสิงโตมากเป็นพิเศษ เหตุเพราะโลกเข้าสู่ธารสะเก็ดดาว ระบุเช้ามืดวันที่ 18 พ.ย. มีอัตราการตกสูงสุด200ดวงต่อชั่วโมง ไทยดูได้ทั่วประเทศ …





ฝนดาวตก 2552 ฝนดาวตกลีโอนิดส์

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. น.ส.ประพีร์ วิราพร นายกสมาคมดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปรากฏการณ์ฝนดาวตกสิงโต หรือฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) ในปีนี้ อาจได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากนักดาราศาสตร์คำนวณพบว่า อัตราการเกิดดาวตกอาจสูงกว่าปกติ

โดยเฉพาะในช่วงตี 4 ถึง ตี 5 ครึ่งของเช้ามืดวันที่ 18 พ.ย. 2552 อาจได้เห็นถึงชั่วโมงละ 200 ดวง โดยเป็นจำนวนที่มากรองจากเมื่อปี พ.ศ.2544 ซึ่งเป็นปีที่มีความฮือฮามากมีถึง 1,000 ดวงต่อชั่วโมง

นายกสมาคมดาราศาสตร์ฯ กล่าวอีกว่า ฝนดาวตกเกิดขึ้นเมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในบริเวณที่มีสะเก็ดดาวซึ่งเป็นเศษ ชิ้นเล็กๆ ที่หลุดมาจากดาวหางและทิ้งไว้ตามทางโคจร โดยเรียกแนวของสะเก็ดดาวเหล่านี้ว่า ธารสะเก็ดดาว สำหรับฝนดาวตกสิงโต เกิดจากดาวหางเทมเพล-ทัลเทิล ซึ่งมีธารสะเก็ดดาวอยู่หลายสาย โดยปีนี้คาดว่าจะเห็นฝนดาวตกสิงโตในอัตราที่มาก เพราะโลกจะเข้าไปใกล้ธารสะเก็ดดาวในอดีต 2 สายธาร คือ ช่วงปี ค.ศ.1466 และ ค.ศ.1533 ซึ่งฝนดาวตกสิงโต จะเริ่มขึ้นประมาณวันที่ 10 พ.ย.นี้ แต่มีอัตราฝนดาวตกค่อนข้างต่ำ และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสูงที่สุดประมาณวันที่ 17-19 พ.ย.นี้ และสิ้นสุดลงในวันที่ 21 พ.ย.นี้





สำหรับช่วงที่มีดาวตกถี่มากที่สุดนั้น น.ส.ประพีร์ กล่าวอีกว่า ในประเทศไทย สามารถมองเห็นได้ทั่วประเทศ แต่มีเงื่อนไขคือ ท้องฟ้าจะต้องใส เห็นดวงดาวชัดเจน

ปีนี้ฝนดาวตกสิงโต เกิดในช่วงคืนเดือนมืด โอกาสเห็นก็จะมีสูงขึ้น วิธีดูที่ดีที่สุดคือ การนอนหงายมองไปที่กลางฟ้าเหนือศีรษะ ดาวตกจะพุ่งมากจากทุกทิศทาง จึงควรกวาดตามองให้ทั่วฟ้า ฝนดาวตกจะมีลักษณะแสงสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว มีสีสันสวยงาม เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลือง เพราะมีแร่ธาตุประกอบต่างๆกัน เช่น แมกเนเซียม ทองแดง เหล็ก จึงให้สีที่แตกต่างกัน ปลายของดาวตกซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ จะทิ้งควันจางๆ เหมือนไอพ่น หากอยู่ในที่เงียบสงบ บางครั้งอาจได้ยินเสียงด้วย เรียกว่า โซนิกบูม และหากเป็นดาวตกขนาดใหญ่เมื่อเสียดสีกับบรรยากาศจะเห็นเป็นลูกไฟ การเกิดปรากฏการณ์ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อหรือโหราศาสตร์


เทคนิคการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ

ก่อนสอบ

1. เตรียมตัว เตรียมตัวยังไงหรือครับ ก่อนอื่นต้องวางแผนการสอบก่อน ต้องรู้ว่าสอบอะไร สอบที่ไหน สอบวิชาอะไร สอบวันไหน สอบเวลาใด ใช้เวลาเท่าไหร่ในแต่ละวิชา รหัสประจำตัวสอบอะไร เลขที่นั่งสอบคืออะไร และที่สำคัญต้องวางแผนการเดินทางไปสอบให้ดี ถ้าเราไม่รู้ข้อมูลในส่วนนี้คงแย่แน่ ถ้าไม่ทราบเส้นทางและสถานที่สอบให้เข้า google maps เพื่อศึกษาเส้นทางและสถานที่สอบก่อน เข้าอินเทอร์เน็ตก็อย่าเลยไปเล่น hi5 หรือ QQ หรือ MSN ให้หยุดไว้ก่อนในช่วงนี้ เดี๋ยวจะสอบไม่ผ่าน.....

2. เตรียมอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมในวันสอบมีอะไรบ้าง เช่น บัตรเข้าห้องสอบ บัตรประจำตัวประชาชน ดินสอ ปากกา ยางลบ กบเหลาดินสอ ฯลฯ


3. เตรียมความรู้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ ความรู้ แล้วจะทำยังไงจะได้มาซึ่ง ความรู้ นั่นคือการอ่านหนังสือ อ่านยังไง ครูมีเทคนิคนิดหน่อยครับในการอ่าน คือ เราต้องวางแผนการอ่านให้ดี ต้องรู้ว่าเราจะต้องสอบวิชาอะไร ควรอ่านวิชาอะไรก่อนหลัง ก่อนอื่นเราต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วเลือกวิชาที่จะสอบเป็นวิชาแรกในวันแรกมาอ่านก่อน อ่านรอบแรก ให้อ่านเฉพาะหัวข้อหลัก หรือเรื่องหลักก่อน อ่านรอบที่สอง ให้อ่านรายละเอียดในแต่ละเรื่องด้วยให้ครบถ้วน ทำความเข้าใจกับเนื้อหา เพราะสมองของคนเราจะรับรู้เรื่องหลักๆ ก่อนแล้วจึงจะโยงไปหาส่วนที่เป็นรายละเอียด ขณะที่อ่านให้จดบันทึกสิ่งที่สำคัญ หรือหัวเรื่องสำคัญไว้ในสมุดโน้ต เพื่อจะนำไปอ่านทบทวนในวันสอบ เวลาจดบันทึกให้จดบันทึกแบบผังความคิด(Mind Map) โดยใช้ปากกาสีที่ไม่เหมือนกันในการแยกสีสำหรับการจดบันทึก (แต่อย่าให้เกินสามสีนะครับ) สมองเราจะสามารถจดจำเป็นภาพ และสามารถแยกสีได้ดีกว่าตัวอักษร ถ้ารู้สึกง่วงนอนอย่าฝืนอ่านต่อนะครับ ให้นอนหลับแบบนอนหงายแบบให้ร่างกายได้พักผ่อน สัก 10 – 20 นาที (ไม่ควรนอนฟุ๊บอยู่กับโต๊ะนะครับ เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก) ทำแบบนี้กับทุกวิชาที่จะสอบในแต่ละครั้งเลยนะครับ นี่แหละคือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ


วันสอบ

1. ควรไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลาประมาณ 30 นาที ถ้าจะให้ดีต้องไปก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อศึกษาสถานที่สอบ ห้องสอบอยู่ที่ไหน อาคารใด ห้องที่เท่าไหร่

2. นำสมุดโน้ตที่จดบันทึกความรู้ไว้ออกมาอ่านทบทวนก่อนเข้าห้องสอบ

3. ฟังประกาศรายละเอียดจากประชาสัมพันธ์ของศูนย์สอบให้เข้าใจ

4. ปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าห้องสอบทุกครั้ง

ในห้องสอบ

1. นั่งตามเลขที่นั่งสอบให้ถูกต้อง

2. ทำใจให้สบาย

3. ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบการสอบอย่างเคร่งครัด

4. กรอกรายละเอียดในกระดาษคำตอบให้ถูกต้อง และชัดเจน

5. อ่านรายละเอียดหน้าข้อสอบในแต่ละรายวิชาให้เข้าใจ

6. อ่านคำถามให้เข้าใจ

7. อ่านคำตอบให้ครบทุกข้อ

8. ตัดคำตอบที่คิดว่าถูกต้องน้อยที่สุดออกไปก่อน ให้เหลือตัวเลือกเพียง 2 ข้อ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด

9. เลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียวด้วยความมั่นใจ

10. ถ้ากระดาษคำตอบเป็นการฝนด้วยดินสอ 2B ควรฝนให้เต็มวง ไม่ต้องกดแรงมาก เพราะกระดาษคำตอบจะมีปัญหากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตรวจกระดาษคำตอบ

11. ข้อใดที่แก้ไขควรลบด้วยยางลบให้สะอาด

12. ถ้าข้อใดที่คิดว่าทำไม่ได้ให้ข้ามไปทำข้อต่อไปก่อน (อย่าลืมทำสัญลักษณ์ข้อที่ข้าม เพื่อกลับมาทำใหม่อีกรอบนะครับ)

13. กลับมาทำข้อที่ข้ามไปให้ครบทุกข้อ

14. รักษาเวลาในการทำข้อสอบให้เต็มที่

15. ถ้าข้อใดที่ทำไม่ได้จริงๆ ให้เลือก ข้อ ค. (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลควรใช้วิจารณญาณในการเชื่อ)

16. ถ้าทำเสร็จแล้วให้ตรวจสอบความถูกต้องของกระดาษคำตอบอีกครั้งหนึ่งก่อนส่งกระดาษคำตอบ

17. ยิ้มและขอบคุณคณะกรรมด้วยความจริงใจ

18.ไม่ควรคุยกันเสียงดังหน้าห้องสอบ ควรรักษามารยาทที่ดี เคารพสถานที่

ออก(นอก)ห้องสอบ

1. ไม่ต้องเครียดกับเสียงบ่นของเพื่อนหลังจากสอบแต่ละวิชา

2. นำสมุดโน้ตวิชาต่อไปขึ้นมาอ่านทบทวนเพิ่มความมั่นใจเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอบ

3. ฟังประกาศรายละเอียดจากประชาสัมพันธ์ของศูนย์สอบให้เข้าใจ

การดูแลเส้นผมให้ยาวเร็ว

สระผมและนวดผมให้เรียบร้อย ใช้ผ้าขนหนูค่อยๆ ซับผม อย่าขยี้ผมเด็ดขาด โดยเฉลี่ยแล้วผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน

- ดังนั้นถ้าอยากให้ผมยาวเร็วขึ้น แสกผมไว้ซัก 5-6 แถว บีบวิตามิน อี แบบแคปซูลสำหรับทาหน้า นำมาทาตามรอยแสก นวดบำรุงให้ทั่วหนังศรีษะ ผมจะยาวเร็วขึ้น

- อย่าลืมที่จะทำทรีทเม้นท์สัปดาห์ละครั้ง เพราะจะทำให้มีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

การทำทรีทเม้นท์หมักผมแบบธรรมชาติ

- บดกล้วยหอมผสมกับน้ำผึ้ง พอกให้ทั่วทั้งศรีษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก

- อีกสูตรหนึ่ง คือ คั้นดอกอันชัญสดกับน้ำสะอาด จนได้น้ำอันชัญสีน้ำเงินอมม่วง หมักผมทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้จะทำให้ผมดูดกดำเงางาม

- ถ้าเป็นคนผมแห้ง ต้องการให้ผมดูเงางาม ใช้แฮร์โค้ต 2-3 หยด ชโลมและนวดให้ทั่วศรีษะ แต่ถ้าเป็นคนผมมัน ไม่ควรทำวิธีนี้

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันดู... แล้วคุณจะมีผมที่สลวยไม่แพ้ใคร

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)





ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)

ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ

แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี

ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน

ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

โรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินคืออะไร (What is Psoriasis?)


สะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ เป็นปื้นนูนแดงปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน ปื้นแดงนี้มักพบบริเวณข้อศอก เข่า หลังส่วนล่าง และหนังศีรษะ แต่อาจพบผื่นที่ผิวหนังบริเวณใดของร่างกาย ก็ได้รวมทั้งที่เล็บ ในกรณีที่ผื่นสะเก็ดเงิน เกิดขึ้นในบริเวณข้อพับต่างๆ เช่น ขาหนีบ รักแร้ อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอก และใต้ฐานเต้านมในผู้หญิง ก็มักจะมีลักษณะต่างจากลักษณะข้างต้นคือ ผื่นจะมีสะเก็ดค่อนข้างน้อย หรือไม่มีเลยและพื้นผิวค่อนข้างมัน โดยทั่วไปผื่นสะเก็ดเงินมักไม่พบที่บริเวณใบหน้า นอกจากนี้เมื่อผื่น สะเก็ดเงินหายแล้ว จะไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่ และน้อยรายมากที่จะทำให้เกิดผมร่วง อย่างไรก็ดี อาจมี ร่องรอยการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหนังในบริเวณที่เคยเป็นผื่นสะเก็ดเงินมาก่อน หลงเหลืออยู่แต่ก็จะค่อยๆ กลับเป็นปกติเมื่อเวลาผ่านไป (ข้อมูลจาก นพ.พีระพัชร์ นิ่มกุลรัตน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง )

โรคสะเก็ดเงินทำให้เซลล์ผิวหนังกำพร้าแบ่งตัวเร็ว ทำให้ผิวหนาตัวขึ้นและเป็นขุย และเชื่อว่าพันธุกรรมก็มีส่วนทำให้เกิดโรคโดยจะต้องมีปัจจัยกระตุ้นซึ่งได้แก่ ความเครียด ผิวหนังที่มีแผล รวมทั้งการติดเชื้อและจากยาบางชนิด มักเป็นมากในระยะวัยรุ่น และพบมากในวัยกลางคนไม่ติดต่อโดยการสัมผัส โรคมีหลายรูปแบบความรุนแรงก็มีหลายระดับ รูปแบบที่พบบ่อยคือ ผู้ป่วยร้อยละ ที่เป็นเรื้อนกวางจะเป็นชนิดนี้ ตำแหน่งที่พบได้คือบริเวณผิวหนังทุกแห่ง เช่น หนังศีรษะ ลำตัว เล็บ


สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis Cause)

สะเก็ดเงินเป็นโรคที่พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 2 ของประชากรที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงยัง ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ผลที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง คือมีการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วขึ้นกว่าปกติ และทำให้ ผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่นมีความหนากว่าผิวหนังปกติ สาเหตุPsoriasis Cause หนึ่งที่เชื่อว่าทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน คือการตอบ สนองทางภูมิคุ้มกันอย่างผิดปกติต่อองค์ประกอบบางอย่างของผิวหนัง แต่สาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบ แน่ชัดและอยู่ในระหว่างการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวาง

ปัจจัยทางพันธุกรรมก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบว่ามีเพียงสมาชิกในบางครอบครัวเท่านั้นที่ป่วย เป็นโรคนี้ และพบ และพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จะมีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนในเครือญาติที่ป่วยเป็นโรคนี้เช่นเดียวกัน

การเกิดผื่นมักเริ่มจากมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น ได้แก่ อารมณ์เครียด การบาดเจ็บของผิวหนัง (รอย ฉีกขาด รอยแกะ รอยเกา เป็นต้น) อาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส การเปลี่ยนแปลงระดับ ฮอร์โมน (ผื่นมักเริ่มเกิดในช่วงแตกเนื้อหนุ่มหรือเป็นสาว) และยาบางชนิด (พบได้น้อย) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นเท่าที่จะสามารถทำได้ อย่างไรก็ดีน่าจะมีปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือ จากที่กล่าวมาแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน


ชนิดและความรุนแรงของโรคPlaque


โรคสะเก็ดเงินชนิดนี้พบบ่อยที่สุด ลักษณะจะเป็นผิวหนังที่มีผื่นแดง นูนหนามีขอบชัดเจน บนผื่นจะมีสะเก็ดขาวเหมือนเงินอยู่บนผื่น สะเก็ดนี้เป็นเซลล์ผิวหนังซึ่งตายแล้ว ผิวหนังบริเวณผื่นมักจะแห้ง คัน และเกิดเป็นแผลได้ง่ายแพทย์เรียกชนิดนี้ว่า psoriasis vulgaris

Guttate
ลักษณะผื่นจะเหมือนรูปหยดน้ำเล็กๆเป็นหยดๆ สีแดง ผื่นนี้จะพบมากบริเวณลำตัวและแขนขา ผื่นจะไม่หนาเหมือนกับชนิด plaque มักจะพบในเด็กและวัยรุ่นโดยมีการติดเชื้อของผิวหนังเป็นตัวกระตุ้น

Inverse
สะเก็ดเงินชนิดนี้มักจะพบในคนอ้วน ที่มีเหงื่อออกมาก และมีการระคายเคือง เราอาจจะเรียกว่า Inverse psoriasis, หรือ flexural psoriasis มักพบบริเวณข้อพับ เช่นขาหนีบ รักแร้ เต้านม ก้น ลักษณะผื่นจะราบเรียบ มีการอักเสบแดง ผิวแห้ง ไม่มีขุยและหนาตัวเหมือนชนิด plaque

Erythrodermic
เป็นการอักเสบของสะเก็ดเงิน เป็นชนิดที่พบน้อยที่สุดมักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคสะเก็ดเงินที่ผื่นสะเก็ดเงินหลุดง่ายผื่นชนิดนี้จะมีลักษณะแดง กระจายไปทั่วและมักจะมีอาการบวม ปวด และคันร่วมด้วย


การรักษา,แนวทางเลือกวิธีการรักษาผื่นโรคสะเก็ดเงิน

ผื่นโรคสะเก็ดเงินมีหลายชนิด การเลือกใช้ยาชนิดใด อย่างไร หรือจะใช้แสงรักษาผื่นผิวหนังที่ผู้ป่วยเป็น ขึ้นกับลักษณะของผื่นและวิจารณญาณของแพทย์ผู้ให้การดูแลรักษา
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกวิธีการรักษามีดังนี้

ลักษณะผื่น
ตำแหน่งของผื่น
ความกว้างของผื่น
ยาหรือเครื่องมือที่แพทย์มีอยู่
ความสะดวกและการยอมรับของผู้ป่วยและญาติ
ความชำนาญของแพทย์ที่เป็นผู้ดูแล

ลักษณะผื่น
ผื่นที่เป็นปื้นหนา ขนาดและจำนวนผื่น โดยรวมน้อยกว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่ผิวหนังทั้งหมด ควรเลือกใช้ยาทาเป็นหลัก ชนิดของยาทาที่เลือกใช้ขึ้นกับแพทย์ผู้ดูแลจะเห็นสมควร
ตำแหน่งของผื่น
ตำแหน่งของผื่นเป็นปัจจัยกำหนดในการเลือกรูปแบบของยาที่จะใช้ทา ตัวอย่างเช่น
ผื่นบริเวณหน้า ข้อพับแขน ขา อวัยวะเพศ การเลือกยาทาจะใช้ครีมสตีรอยด์ที่มีฤทธิ์ไม่แรงมากเพราะผิวหนังบริเวณนี้บอบบาง ยาจะซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ดีจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์แรง ยาทาในรูปขี้ผึ้งเหนอะหนะ จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในบริเวณ
ข้อพับ

ผื่นที่ศีรษะหรือบริเวณผิวหนังที่มีขนมาก ยาทาที่เหมาะกับผิวหนังบริเวณนี้ในรูปโลชั่น Solution, Gel เพราะยากลุ่มนี้เป็นของเหลวซึมผ่านลงสู่หนังศีรษะได้ดี ยาในรูปขี้ผึ้งไม่เหมาะที่จะใช้บริเวณนี้

ผื่นบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งมีผิวหนังชั้นขี้ไคลหนามาก ควรเลือกยาที่มีฤทธิ์แรงหรือยาทาในรูปขี้ผึ้งหรือน้ำมัน เพราะขี้ผึ้งทำให้ผิวหนังอุ้มน้ำและนุ่ม ยาจะซึมผ่านลงสู่ผิวหนังส่วนที่อยู่ลึกได้ดี เทคนิคอีกอย่างหนึ่งในการทำให้ยาซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีคือการแช่ผิวหนังที่มีสะเก็ดหรือขุยหนาในน้ำอุ่นนาน 5-10 นาที ผิวหนังจะอุ้มน้ำและนุ่มขึ้น เช็ดผิวหนังบริเวณนั้นพอหมาดๆแล้วจึงทายา จะช่วยให้ยาซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังส่วนลึกได้มากขึ้น เคล็ดลับอีกประการหนึ่งที่ช่วยให้ยาทาซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้มากขึ้น คือการใช้พลาสติกคลุมบริเวณผื่นที่ทายาแล้วปิดเทปกระดาษโดยรอบขอบพลาสติก เพื่อกันไม่ให้พลาสติกหลุดน้ำจากภายในร่างกายไม่สามารถซึมออกสู่ภายนอกได้ บริเวณนั้นจะชุ่มน้ำและนุ่มทำให้ยาซึมเข้าผิวหนังได้มากเป็น 10 - 100 เท่าของผิวหนังปกติ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

...อันตรายจากน้ำอัดลม




หัวข้อนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ" โค้ก" ซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่ชอบดื่มโค้กหรือเป๊ปซี่ซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับนํ้าอัดลมดีแล้ว นํ้าอัดลมสามารถ....


.........ทำความสะอาดห้องนํ้าโดยการรินโค้กลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในโค้กจะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี

.........ใช้ขัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ขยําเป็นชิ้นเล็ก ๆและจุ่มโค้ก ใช้ทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถโดยการรินโค้กให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้ ช่วยทำให้รอยสนิมบนผ้าจางลงโดยการจุ่มผ้าในโค้กประมาณ 2-3 นาที

.........ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงในกระทะซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วย อลูมิเนียมฟอยล์ลงไป แกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุก และผสมแฮมกับโค้กจะได้นํ้าเกรวี่สีนํ้าตาล ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมนํ้ายาซักผ้าและซักตามปกติ โค้กจะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง

.........และยังช่วยทำความสะอาดรอยนํ้าซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย แล้วเราก็ดื่มสิ่งนี้ลงไป!!! ข้อมูลเกี่ยวกับโค้กและเป๊ปซี่ นํ้าอัดลม เช่น โค้ก หรือ เป๊ปซี่มีค่ากรดด่างเท่ากับ 3.4 โดยประมาณซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้

............ร่างกายคนเราจะหยุดสร้างกระดูก เมื่อเรามีอายุประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นกระดูกจะกร่อนลงประมาณ 8-18% ในแต่ละปี โดยขึ้นอยู่กับความเป็นกรดของอาหารซึ่งบริโภคเข้าไป(ค่าความเป็นกรดไม่ได้ขึ้ นกับรสชาติของอาหาร แต่ขึ้นกับค่าของธาตุโปแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เช่นฟอสฟอรัส เป็นต้น) และจะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ส่วนประกอบของแคลเซียมซึ่งมีศักยภาพในการกัดกร่อนกระดูกจะไหลเวียนอยู่ในเส้น เลือดฝอย เส้นเลือดใหญ่เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของตับ

............นํ้าอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของนํ้าตาล มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวก วัตถุกันเสียและสีมากกว่า บางคนชอบดื่มนํ้าอัดลมเย็นๆหลังทานอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง

............ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่นํ้าอัดลมเย็นๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิตํ่ากว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกาย ตํ่าลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสียและส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างก าย สารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้จะส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆเจริญเติบโตได้ดีขึ้น คิดให้ดีก่อนที่คุณ จะดื่มโค้ก เป๊ปซี่ หรือนํ้าอัดลมประเภทอื่น

...........คุณเคยคิดเวลาคุณดื่มนํ้าอัดลมหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไป คุณกำลังกลืนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม สองเดือนต่อมา D2 มีการแข่งขันในมหาวิทยาลัย เดลีว่า "ใครดื่มโค้กได้มากที่สุด" ผู้ชนะดื่มโค้กเข้าไป 8 ขวด และเสียชีวิตทันทีเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด มากเกินไป และมีก๊าซออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ

...........หลังจากนั้น ผู้อำนวยการจึงสั่งห้ามขายนํ้าอัดลมในห้องอาหารของมหาวิทยาลัยอีก มีคนใส่ฟันซึ่งหลุดแล้วลงไปในขวดเป๊ปซี่ และมันถูกกัดกร่อนในเวลา 10 วัน ฟันและกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกายเพียงอย่างเดียวซึ่งสามารถคงอยู่ได้ อีกหลายปีหลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตลง ลองคิดดูสิว่านํ้าอัดลมจะมีผลอย่างไรต่อลำไส้อ่อนๆ และกระเพาะอาหารของเรา

...........ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด

...........เวลาขนย้ายน้ำโค้กเข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก
ที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า "มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็นอันตราย"


บริษัทขายน้ำโค้ก ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck
มานานประมาณ 20 ปีแล้ว ท่านยังอยากดื่ม โค้ก หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

วันที่21ธันวา2012(วันสิ้นโลก)จริงหรือไม่??




ทฤษฏีที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนายที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า ด้วยชุดเลขสวย 212012

ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดี

ก่อนเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า “อาทิตย์ดวงที่ 5” ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึงสงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนได้มีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกครั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อดัง

น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะเกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วงฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ระนาบเดียวกับใจกลางของทางข้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอง 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและเกิดการปะทะกับพลังงานทั้งที่มองเป็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)

สมมุติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลายแหล่ข้างต้น จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าว ๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่าง ๆ นับจากศูนย์

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำ ครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำงานหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือโศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน อาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเวณที่เคยเกิดสึนามิมาก่อน
และเป็นที่น่าสักเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจาก “ภาวะโลกร้อน” แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโลกกำลังขยับและเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว

ด้านนักวิทยาศาสตร์บางรายกลับมองว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกจะเป็นภัยคุกคามที่ย้อนกลับมาทำลายล้างมนุษยชาติเองในท้ายที่สุด โดยในบทความเรื่อง “วันสิ้นโลก” ของ ไมเคิล แฮนลอน ในเว็บไซต์เดลี เมล์ ระบุว่า วันสิ้นโลกที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้มาจากการระเบิดครั้งใหญ่ของโลกตามคำทำนายใด ๆ ทั้งสิ้น ทว่า กลับเป็นภัยเงียบที่ก่อตัวมานาน ที่มนุษย์กลับไม่เคยใส่ใจหรือรู้สึกต่างหาก

ย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 1990 ที่คอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและเป็นจุดกำเนิดของการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ หลังจากนั้น โลกเราได้รู้จักอินเทอร์เน็ตและสามารถคิดค้นเครื่องจักรและหุ่นยนต์ที่มีศักยภาพทัดเทียมหรือเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที

และช่วงศตวรรษที่ 20 ได้เกิดปรากฏการณ์เครื่องจักรที่เคยถูกสร้างเพื่อเป็นทาสรับใช้ ผันตัวเองมาเป็นผู้ควบคุณมนุษย์โลก และจุดจบของโลกจะเริ่มขั้นในวันศุกร์ ที่ 13 มีนาคม 2065 ที่บรรดาหุ่นยนต์อันชาญฉลาดได้หันมาเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นบ้านหลังใหม่สำหรับพวกมัน และเริ่มเข้าควบคุมมนุษย์โลก จนในช่วงปลายศตวรรษเดียวกัน มนุษย์นับพันล้านคนต้องขาดแคลนอาหาร และในท้ายที่สุดในปี 2100 ต้องผันตัวเองกลับไปใช้ชีวิตในถ้ำอย่างในอดีต ขณะที่เมืองต่าง ๆ ก็ตกเป็นของเหล่าเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคำทำนายจะน่าสะพรึงกลัวสักเท่าใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่าเวลานี้ โลกของเราอาการหนักจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเกินไปจนทำให้หลายชาติต้องออกมาแสดงแสนยานุภาพของตัวเอง

หากโลกไม่แตกอย่างคำทำนาย ก็คงมีสักวันที่ต้องล่มสลายตามอายุขัย เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเคยทำนายได้เลยว่า จริง ๆ แล้ว โลกมีอายุยืนยาวกี่ปีกันแน่ ?

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พระปฐมเจดีย์



องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของประเทศไทย อยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร มีประวัติความเป็นมายาวนานในแผ่นดินสุวรรณภูมิ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ใหญ่ รูประฆังคว่ำ ปากผายมหึมา โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมาก่ออิฐ ถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสักการะบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทางวัดกำหนดให้มีงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ถึง วันแรม 5 ค่ำ เดือน 12 รวม 9 วัน 9 คืน เป็น ประจำทุกปี

ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์

พระปฐมเจดีย์ หรือเดิมเรียกว่า พระธมเจดีย์ มีฐานะเป็นมหาธาตุหลวง ของแผ่นดินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระธมเจดีย์องค์นี้ อาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้น เมื่อคราวที่พระสมณทูต ในพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิ ก็เป็นได้ เพราะพระเจดีย์เดิม มีลักษณะทรงโอคว่ำ หรือทรงมะนาวผ่าซีก แบบเดียวกับพระสถูปสาญจี แต่ปรากฏว่ามียอดเป็นแบบปรางค์ ซึ่งพระองค์ฯ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า อาจมีเจ้านายพระองค์ใดมาบูรณะไว้ก็เป็นได้ ซึ่งตรงกับความในศิลาจารึกหลักที่ 2 (ศิลาจารึกวัดศรีชุม) ของ พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ อันได้กล่าวไว้ว่า พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ท่านทรงได้แวะมาบูรณะพระธมเจดีย์องค์นี้ ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับเมืองราด เมื่อคราวที่ท่านเสด็จกลับจากศึกษาพระพุทธศาสนาที่ลังกา ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า พระปฐมเจดีย์ ด้วยทรงเชื่อ ว่านี่คือเจดีย์แห่งแรกของสุวรรณภูมิ นั่นเอง

ในเรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีบางท่าน ได้ระบุว่า พระปฐมเจดีย์ไม่ได้เป็นเจดีย์ที่เก่าที่สุดของสุวรรณภูมิ แต่เป็น พระมหาธาตุหลวง ในยุคทวารวดี มากกว่า เนื่องด้วยเหตุผลประกอบหลายประการ โดยเฉพาะ การค้นพบเจดีย์ ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพระธมเจดีย์ และหลักฐานลายลักษณ์อักษร ที่ระบุว่า " พระเจดีย์องค์นี้ เดิม ขอมเรียก พระธม " ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาวขอมจริงๆ หรือชาวลวรัฐ ซึ่งสมัยนั้นเราก็เรียกว่าขอม เช่น ขอมสบาดโขลญลำพง คำว่า ธม สำหรับชาวขอมนั้น แปลว่า ใหญ่ ตรงกับคำเมืองว่า หลวง ซึ่งเราก็เรียกพระนครธม ว่า พระนครหลวง ด้วยเหตุผลเดียวกัน


นอกจากนี้พระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และฐานพระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามที่มีพระบรมราชโองการสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรม ต่อมา ในพุทธศักราช 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอังคารของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ไปบรรจุไว้เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 6 ที่ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์

พระร่วงโรจนฤทธิ์
ปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระยุพราช เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือได้ทอดพระเนตร พระพุทธรูปโบราณเป็นอันมาก แต่มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่เมืองศรีสัชนาลัย (จังหวัดสุโขทัย) กอปรด้วยพระลักษณะงามเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย แต่ชำรุดมากเหลืออยู่แต่พระเศียร พระหัตถ์และพระบาท จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมากรุงเทพฯ แล้วให้ช่างปั้นสถาปนาขึ้นมาบริบูรณ์เต็มพระองค์ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีเททองหล่อขึ้นเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2456 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานครฯ
พระร่วงโรจนฤทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของ พุทธศาสนิกชนชาวไทยทั่วไป ชื่อเต็มก็คือ พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธ ตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2466 แต่ประชาชนทั่วไป จะเรียกว่า หลวงพ่อพระร่วง หรือ พระร่วงโรจนฤทธิ์

พระร่วงโรจนฤทธิ์ มีขนาดความสูงวัดจากพระบาทถึงพระเกศ 7.42 เมตร หรือราว 12 ศอก 4 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะแบบสุโขทัย ประทับยืนอยู่บนฐาน โลหะทองเหลืองลายบัวคว่ำบัวหงาย ทำวงพระพักตร์ตามยาว พระหนุเสี้ยมนิ้วพระหัตถ์ และพระบาทไม่เสมอกัน ห้อยพระหัตถ์ซ้ายลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ขวายกตั้งขึ้น ยื่นออกไปข้างหน้าระดับพระอุระ เป็นกิริยาห้าม มีพระอุทรพลุ้ยออกมา ห่มจีวรบางคลุม แนบติดพระวรกาย บ่ายพระพักตร์สู่ทิศเหนือ ทำด้วยโลหะทองเหลือง หนัก 100 หาบ

การอัญเชิญพระร่วงโรจนฤทธิ์ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2457 จำเป็นต้องแยกชิ้นมาและมาประกอบเข้าด้วย กันที่จังหวัดนครปฐมแล้วเสร็จเป็นองค์สมบูรณ์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 หลังจากรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคตแล้วตามความในพระราชพินัยกรรมของพระองค์ระบุว่าให้ บรรจุพระอังคารของพระองค์ไว้ใต้ฐานพระร่วงฯ ที่องค์พระ ปฐมเจดีย์ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2469 จึงได้ทำพิธีบรรจุ พระบรมราชสรีรังคาร ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธ ตาม พระประสงค์ทุกประการ

ตำนานดอกกุหลาบ

กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

เชอร์ล็อก โฮล์มส์

เชอร์ล็อก โฮลมส์ (อังกฤษ: Sherlock Holmes) เป็นนวนิยายสืบสวนหรือรหัสคดี ประพันธ์โดยนักเขียนและนายแพทย์ชาวสก็อต คือ เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตัวละคร เชอร์ล็อก โฮลมส์ เป็นนักสืบชาวลอนดอนผู้ปราดเปรื่องที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านทักษะการประมวลเหตุและผล โดยอาศัยหลักฐานและการสังเกตอันคาดไม่ถึงเพื่อคลี่คลายคดีต่างๆ

โคนัน ดอยล์ แต่งเรื่องเชอร์ล็อก โฮลมส์ ไว้ทั้งสิ้นเป็นเรื่องยาว 4 เรื่อง และเรื่องสั้น 54 เรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นการบรรยายโดยเพื่อนคู่หูของโฮลมส์ คือ ดร. จอห์น เอช. วัตสัน หรือ หมอวัตสัน ในจำนวนนี้ มี 2 เรื่องที่โฮลมส์เป็นผู้เล่าเรื่องเอง และอีก 2 เรื่องเล่าโดยบุคคลอื่น เรื่องสั้นสองเรื่องแรกตีพิมพ์ใน Beeton's Christmas Annual ในปี ค.ศ. 1887 และ Lippincott's Monthly Magazine ในปี ค.ศ. 1890 แต่หลังจากที่ชุดเรื่องสั้นลงพิมพ์เป็นคอลัมน์ประจำใน นิตยสารแสตรนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1891 นิยายเรื่องนี้ก็โด่งดังเป็นพลุ เหตุการณ์ในนิยายอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1878 ถึง ค.ศ. 1903 และคดีสุดท้ายเกิดในปี ค.ศ. 1914

เมื่อถูกถามว่า เชอร์ล็อก โฮลมส์มีตัวตนจริงหรือไม่ โคนัน ดอยล์ มักตอบว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างเชอร์ล็อก โฮลมส์ มาจากนายแพทย์โจเซฟ เบลล์ ผู้ซึ่งดอยล์เคยทำงานด้วยที่โรงพยาบาลเอดินเบิร์กรอยัล นายแพทย์เบลล์มีความสามารถในการหาข้อสรุปจากความสามารถในการสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับเชอร์ล็อก โฮลมส์ นอกจากนี้นายแพทย์เบลล์ยังมีความสนใจในอาชญากรรมและเคยช่วยเหลือตำรวจในการคลี่คลายคดีต่างๆ ด้วย

ความโด่งดังของเชอร์ล็อก โฮลมส์ ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากเชื่อว่าเขามีตัวตนจริงและพากันเขียนจดหมายไปหา มีพิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮลมส์ ตั้งขึ้นในตำแหน่งที่น่าจะเป็นบ้านในนวนิยายของเขาในกรุงลอนดอน นับเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นสำหรับตัวละครในนิยาย เรื่องราวของเชอร์ล็อก โฮลมส์ มีการนำไปดัดแปลงและแต่งเพิ่มเติมขึ้นใหม่อีกโดยนักเขียนคนอื่น ทั้งที่เขียนร่วมกับทายาทของโคนัน ดอยล์ และเขียนขึ้นใหม่เป็นเอกเทศ บทประพันธ์ของโคนัน ดอยล์ และนวนิยายที่แต่งขึ้นใหม่ ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ และสื่ออื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน จนกระทั่งเชอร์ล็อก โฮลมส์ ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊คว่าเป็น "ตัวละครที่มีผู้แสดงมากที่สุด" ภาพลักษณ์ของโฮลมส์กลายเป็นสัญลักษณ์ของนักสืบ และส่งอิทธิพลต่อวรรณกรรมและการแสดงในประเภทรหัสคดีจำนวนมาก


โครงเรื่อง
เชอร์ล็อก โฮลมส์ ตอนแรกที่ลงตีพิมพ์ใน Beeton's Christmas Annual คือตอน แรงพยาบาท (A Study in Scarlet) โดยบทแรกเล่าถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างโฮลมส์กับวัตสัน ทั้งสองมาเช่าห้องพักร่วมกันที่บ้านเลขที่ 221 บี ถนนเบเกอร์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1881 แต่เนื้อเรื่องใน แรงพยาบาท เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1884[

เวลานั้นโฮลมส์เป็นนักสืบเชลยศักดิ์อยู่แล้ว ส่วนหมอวัตสันเพียงต้องการพักผ่อนหลังจากเกษียนตัวเองจากสงครามอัฟกานิสถาน ในช่วงแรกหมอวัตสันรู้สึกว่าโฮลมส์ช่างเป็นคนแปลกประหลาด แต่ต่อมาเมื่อคุ้นเคยขึ้น วัตสันจึงเข้าใจและมองเห็นความสำคัญของสิ่งที่โฮลมส์ทำ นับแต่นั้นหมอวัตสันได้ร่วมในการสืบสวนคดีของโฮลมส์หลายต่อหลายครั้ง และเขียนเป็นบันทึกส่วนตัวเก็บไว้อ่าน เนื้อเรื่อง เชอร์ล็อก โฮลมส์ ที่โคนัน ดอยล์ ประพันธ์นั้น สมมุติขึ้นว่าเป็นการเล่าเรื่องจากสมุดบันทึกของหมอวัตสัน ซึ่งเขาส่งให้หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์บ้างบางตอน เพราะต้องการเผยแพร่กิตติคุณความสามารถของโฮลมส์ให้โลกรู้

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1888 ระหว่างการสืบสวนคดี จัตวาลักษณ์ (The Sign of Four) หมอวัตสันได้รู้จักกับ มิสแมรี มอร์สตัน ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ หลังเสร็จสิ้นคดี ทั้งสองได้แต่งงานกัน และหมอวัตสันย้ายออกจากห้องเช่า 221 บี ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต่อมา เมื่อภริยาเสียชีวิต หมอวัตสันจึงได้ย้ายกลับมาอยู่กับโฮลมส์อีกครั้ง

โฮลมส์และหมอวัตสันได้ร่วมสืบคดีด้วยกันเป็นเพื่อนคู่หู รวมคดีที่โฮลมส์สะสางทั้งสิ้นมากกว่าหนึ่งพันคดี[5] บางปีโฮลมส์มีคดีมากมายจนทำไม่ทัน บางปีก็ว่างจนโฮลมส์ต้องหันไปพึ่งฝิ่นและโคเคน ซึ่งเป็นนิสัยเพียงอย่างเดียวของโฮลมส์ที่หมอวัตสันรังเกียจที่สุด ช่วงปีที่โฮลมส์มีงานยุ่งที่สุดคือ ปี ค.ศ. 1894 - 1901 โฮลมส์มีโอกาสได้ถวายการรับใช้สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร เมื่อปี ค.ศ. 1895 เหตุการณ์นี้ปรากฏในตอน แผนผังเรือดำน้ำ (The Bruce-Partington Plan) ต่อมาในปี ค.ศ. 1902 โฮลมส์มีโอกาสได้รับยศอัศวินแต่เขาปฏิเสธ

อย่างไรก็ดี หมอวัตสันก็ยังคงเป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ และอยู่ร่วมในคดีสุดท้ายของโฮลมส์ในปี ค.ศ. 1914 ดังปรากฏในบันทึกตอน ลาโรง (His Last Bow) หลังจากคดีนี้แล้วก็ไม่มีบันทึกของหมอวัตสันปรากฏให้เห็นอีก จึงไม่มีใครรู้เลยว่า ชีวิตของคนทั้งสองหลังจากปี ค.ศ. 1914 ได้ดำเนินไปเช่นไร

ประเพณีวันฮาโลวีน

31 ตุลาคม วันฮาโลวีนไม่ว่าจะของปีนี้หรือปีไหน หลายคนรู้จักกันดีว่าเป็น วันปล่อยผีหรือวันฮาโลวีน สัญลักษณ์วันฮาโลวีนประจำประเพณีนี้คือ หัวฟักทองเจาะตา เจาะปาก ที่จะดูว่าน่ารักก็ได้ ดูน่ากลัวก็ไม่ใช่น้อย แต่ใครเลยจะรู้ว่าในความเป็นจริง วันฮาโลวีนนั้น เป็นวันที่มีความหมายทางศาสนามากพอกับวันคริสต์มาสเลยทีเดียว

ประเพณีวันฮาโลวีน
วันฮาโลวีนอังกฤษ ที่ประเทศนี้ถือว่าวันฮาโลวีนนี้เป็นวันดี เหมาะสำหรับจัดงานแต่งงาน การทำนายโชคชะตา หรือแม้แต่เรื่องความตายยังถือว่า วันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่ภูติผีวิญญาณจะช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่คนเป็นต้องการสามารถเป็นไปตามใจปรารถนา ประมาณเที่ยงคืนของวันฮาโลวีนสาวอังกฤษจะออกมาหว่าน และไถกลบเมล็ดป่าน พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน และท่องคาถาร้องขอให้มองเห็นภาพของว่าที่คู่ชีวิตของตนในอนาคต เมื่อสาวเจ้าเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายก็จะได้เห็นภาพนิมิตของผู้ที่จะมาเป็นสามีของตนในอนาคต

อีกประเพณีหนึ่งของชาวอังกฤษ คือ การหย่อนเหรียญ 6 เพนนีลงในอ่างน้ำ พร้อมแอปเปิ้ล ผู้ใดสามารถแยกแยะของสองสิ่งนี้ออกจากกันได้โดย ใช้ปากคาบเหรียญ และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดได้ในครั้งเดียว ผู้นั้นจะมีโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือน

วันฮาโลวีนอเมริกา
ประเพณีวันฮาโลวีนของประเทศมหาอำนาจนี้ดูจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายกว่าประเพณีของชาวอังกฤษ นั่นก็คือ ประเพณี Trick or Treat ที่จะให้เด็กๆ แต่งหน้า แต่งตัวเป็นผีเดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อร้องขอขนมเค้กสำหรับวิญญาณ (Soul cake) พร้อมกับส่งเสียงทักทายว่า “Trick or Treat” หากเจ้าของบ้านตอบว่า Trick จะถูกเด็กๆ แกล้ง แต่ถ้าตอบว่า Treat เจ้าของบ้านหลังนั้นก็ต้องนำขนมเค้กมาให้พวกเด็กจนกว่าเขาจะพอใจ

เด็กที่แต่งตัวเป็นภูติผีวิญญาณเปรียบเหมือนสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างคนเป็นและคนตาย โดยเจ้าของบ้านที่ให้ขนมแก่เด็กๆ สามารถฝากคำอธิษฐานไปถึงคนตายได้ด้วย ดังนั้น ยิ่งเด็กๆ ขอขนมได้มากเท่าใด วิญญาณที่ยังเวียนวนอยู่ในรกก็จะยิ่งได้รับส่วนบุญ และมีโอกาสขึ้นสวรรค์มากยิ่งขึ้นด้วย

ลอยกระทง

การ ลอยกระทง จะมีขึ้น ใน วัน ลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย

กิจกรรมวัน ลอยกระทง
นำกระทง ไป ลอยกระทง ตามแม่น้ำลำคลอง หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธี ลอยกระทง จัดนิทรรศการ พิธี ลอยกระทง เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ประเพณีไทยให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในการ ลอยกระทง เช่น การประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ การละเล่นพื้นเมือง เช่น รำวงเพลงเรือ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทยจัดรณรงค์ให้มีการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาทำกระทง เพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะแก่แม่น้ำลำคลอง

เหตุผลในการลอยกระทง
ลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา ลอยกระทง เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทและบูชาเทพเจ้า ลอยกระทง ตามคติความเชื่อ ลอยกระทง เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา เพื่อรู้ถึงคุณค่าของน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต

การ ลอยกระทง ในยุคปัจจุบัน
การ ลอยกระทง ในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามยุค เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 1 2 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วย และดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้ เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวังพร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้ทำกระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ