วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เกาะลันตา
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
หมู่เกาะลันตา ตั้งอยู่ที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เป็นหมู่เกาะที่ประกอบไปด้วยอ่าวและหาดทรายที่สวยงามมากมายหลายที่ด้วยกัน อ. เกาะลันตา ประกอบด้วยเกาะสามเกาะเรียงตัวจากเหนือ-ใต้ อันได้แก่ เกาะลันตาน้อย เกาะกลาง และเกาะลันตาใหญ่ และเกาะเล็กๆ อีก มากมายราว 49 เกาะ ศูนย์กลางของเกาะอยู่บริเวณบ้านศาลาด่าน เกาะลันตาใหญ่ เนื่องจากเป็นท่าเทียบเรือ นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมเดินทางมาด้วยแพขนานยนต์และมาขึ้นที่ท่าเรือนี้ บริเวณนี้จะมีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ร้านอาหาร, ร้านขายของที่ระลึก, ที่พักหลายสไตล์, ร้านอินเทอร์เนต นอกจากมีอ่าวและหาดทรายที่สวยงามแล้วยังจะได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบอื่นด้วย ที่เกาะลันตายังมีโถงถ้ำสำหรับผู้ที่รักการผจญภัย ชอบการปีนป่ายและมีน้ำตกที่สวยงาม ที่เคาเตอร์ของรีสอร์ทแต่ละแห่งจะมี แพ็คเก็จทัวร์จำหนายอยู่ อาทิ เช่น ดำน้ำที่เกาะรอก นั่งเรือสเร็วเที่ยวรอบเกาะ ขี่ช้าง ชมถ้ำแก้ว ฯลฯ
สถานที่ท่องเที่ยวในเกาะลันตา
เกาะลันตาใหญ่ เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน อ. เกาะลันตา ตรงกลางของเกาะเป็นแนวเขายาวจรดใต้ หาดทรายด้านตะวันตกจะมีความสวยงามมากกว่า และเล่นน้ำได้ ขณะที่ด้านตะวันออกจะหันหน้าเข้าหาแผ่นดินไม่มีหาดทรายที่สวย แต่เป็นเส้นทางไปสู่หมู่บ้าน ชุมชนของชาวบ้าน และตัวอำเภอ ด้านตะวันตกหันหน้าสู่ทะเลอันดามัน หาดทรายสี่ขาวตลอดแนว น้ำทะเลใส บริเวณด้านตะวันตกนี้ไม่มีจุดดำน้ำ เหมาะสำหรับพักผ่อนเล่นน้ำ นอนอาบแดดบนชายหาด ตอนกลางของเกาะจะมีถ้ำ นักท่องเที่ยวนิยม เดินป่า นั่งช้าง เที่ยวถ้ำหรือเล่นน้ำตก ชึ่งจะได้บรรยากาศผจญภัยไปอีกแบบ
บ้านศาลาด่าน
หมู่บ้านเล็กๆ เป็นทั้งท่าเรือระหว่างเกาะลันตา กับ เกาะพีพี ท่าเรือเจ้าฟ้าที่กระบี่ เป็นแหล่งชุมชนอยู่บนสุดของเกาะลันตาใหญ่ มีร้านค้า ทัวร์ดำน้ำ ซุปเปอร์มาเก็ต ธนาคาร ตลาด สถานี่รถสองแถว และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
หาดคอกวาง
อยู่บริเวณแหลมคอกวาง เป็นโค้งอ่าวที่สวยงามเว้าเข้าหากันเป็นรูปคอกวาง มีชายหาดที่ทรายไม่ขาวมากนักแต่มีบรรยากาศที่น่าพักผ่อน เพราะมีความร่มรื่นจากทิวสนทะเล ที่ขึ้นขนานเป็นแนวตลอดชายหาด เป็นแหล่งชมพระอาทิตย์ตกอันเลื่องชื่อ
หาดคลองดาว หรือหาดโล๊ะบาหรา
หาดที่มีความยาว 3 กิโลเมตร หาดทรายสีขาวปนเทาอ่อนๆ เมื่อน้ำลงจะเป็นหาดที่กว้างและสะอาดมาก นักท่องเที่ยวให้ความนิยมมากที่สุด สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบาย เป็นหาดแรกที่ได้รับความนิยมจวบจนทุกวันนี้ หาดคลองดาวนี่เองอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือศาลาด่าน ใกล้แหล่งความเจริญจึงมีความครึกครื้นมากกว่าหาดอื่นๆ ตกกลางคืนจะมีแสงสีจากร้านอาหาร ร้านบาร์เบียร์ มีการปิ้งย่างซีฟูดส์กันริมทะเลเป็นที่สนุกสนาน เหมาะสำหรับผู้ที่รักความสนุกสนาน และด้วยความที่มีรีสอร์ทตั้งอยู่มากมายหลากหลายไสตล์ หลายราคาให้นักท่องเที่ยวได้เลือก หาดคลองดาวจึงไม่เหงาทั้งกลางวันและกลางคืน
ทะเลหมอก อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
ท่องเที่ยวทะเลหมอก อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
Posted on 05 October 2010 by nuujinny
อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปายจังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 179.5 ตารางกิโลเมตร หรือ 112,187.5 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงสลับซับซ้อน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง มีฝนตกชุกในเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 34 องศาเซลเซียส
สถานที่ที่มีผู้นิยมมาท่องเที่ยว ได้แก่
จุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) ตำบลกึ๊ดช้าง อำเภอแม่แตง อยู่บริเวณที่ทำการอุทยาน เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและมีชื่อเสียงมาก มองเห็นดอยเชียงดาว คอยชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่ได้ และในช่วงปลายฤดูหนาวดอกไม้กำลังบานสวยงามมาก
หมอกที่เกิดที่นี่คือ หมอกที่เกิดขึ้นในหุบเขา (Radiation Fog) เนื่องจากเวลากลางคืนในหุบเขาอุณหภูมิจะลดต่ำลง ทำให้เกิดการกลั่นตัวเป็นละอองน้ำ และปรากฏเป็นทะเลหมอกในเวลาเช้าหรือหลังฝนตก ใกล้ ๆ กับที่ทำการจะมี เส้นทางศึกษาธรรมชาติเอื้องเงิน มีระยะทาง 1,470 เมตร ความลาดชันปานกลาง ใช้เวลาในการเดินประมาณ 1 ชั่วโมง
การเดินทาง ไปยังอุทยานฯ จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ระยะทางประมาณ 37 กิโลเมตร ถึงตลาดแม่มาลัย อ.แม่แตง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1095 สายเชียงใหม่-ปาย อีกประมาณ 65 กิโลเมตร ถึงด่านตรวจอุทยานฯ ซึ่งอยู่ด้านขวามื อเข้าไปอีก 6 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ และหากเดินทางต่อไปอีก 1 กิโลเมตร ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือเดินทางโดยรถประจำทางจากสถานีขนส่งเชียงใหม่ สายเชียงใหม่-ปาย อัตราค่าโดยสาร 40 บาท/คน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
ห้วยน้ำรู หรือ ดอยสามหมื่น ตำบลเมืองคอง อำเภอเชียงดาว มีหมู่บ้านชาวเขาเผ่าลีซอ ทัศนียภาพสวยงาม และชมการปลูกกาแฟและไม้ผลเมืองหนาว
การเดินทาง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 130 กิโลเมตร ใช้ถนนสายเชียงใหม่-ห้วยน้ำดัง และเลยเข้าไปทางห้วยน้ำดังอีก 20กิโลเมตร ทางยังไม่ลาดยางใช้ได้เฉพาะฤดูแล้งเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตอุทยานฯ ได้แก่ น้ำตกห้วยน้ำดัง โป่งน้ำร้อนท่าปาย น้ำตกแม่เย็น
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก อุทยานฯมีบ้านพักบริการ รวมทั้งสถานที่กางเต็นท์ ร้านอาหาร และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รายอุทยานแห่งชาติจะทำการปิดลานกางเต็นท์ที่ 1-5 บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เส้นทางเดินป่าล่องแพน้ำแม่แตง เส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยช้าง และเส้นทางศึกษาธรรมชาติเอื้องเงิน ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายนของทุกปี
ลัทธิ คู คลัก แคน
สังคมอันแสนโหดร้าย ลัทธิ คู คลัก แคนลัทธิต่อต้านคนดำ
ลัทธิที่ทั้งประหลาด และโหดร้าย คู คลัก แคน กลุ่มชาวอเมริกันผิวขาวได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อต่อต้านผู้คนผิวดำในอเมริกา ลัทธิประหลาดนี้เปิดตัวออกสู่โลกภายนอกในปี 1865 นับเป็นเวลา เกือบ 150 ปี ที่ลัทธินี้เริ่มเข้าสู่อเมริกา พร้อมกับความโหดร้ายที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
การก่อตั้ง
ลัทธิ คู คลัก แคน ก่อตั้งในวันที่ 3 มีนาคม 1865 โดยสภาคองเกรสของอเมริกา และในปี 1867 ก็ได้เลือกแกรนวิซาร์ดคนแรก คือ นาธาน เบ็ดฟอร์ด ฟอเรส เป็นแกรนวิซาร์ดคนแรก สาขาแรกของลัทธิ คู คลัก แคน ได้ก่อตั้งขึ้นใน รัฐเทนเนสซี ใน พฤษภาคม 1866
นาธาน เบ็ดฟอร์ด ฟอเรส
สมาชิกของลัทธิ
คู คลัก แตน แบ่งออกเป็น 3 ช่วง
- ช่วงที่ 1 นั้น อยู่ในปี 1865-1870 มีผู้นำได้แก่ แกรนวิซาร์ด นาธาน เบ็ดฟอร์ด ฟอเรส และมีสมาชิกของลัทธิประมาณ 550,000 คน
- ช่วงที่ 2 นั้น อยู่ในปี 1915- 1944 มีผู้นำได้แก่ แกรนวิซาร์ด วิลเลียมส์ ยูซุฟ ซิมมอนส์ และมีสมาชิกของลัทธิประมาณ 4,000,000 คน
- ช่วงที่ 3 นั้น อยู่ในปี 1946 ถึง ปัจจุบัน มีผู้นำหลายคน แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงได้แก่ เดวิด เออร์เนส ดุ๊ก และมีสมาชิกของลัทธิประมาณ 10ล้านคน
การกระทำที่โหดร้ายของลัทธิ
ในช่วงปี 1918-1927 เกิดการฆ่าแอฟริกันอเมริกา จำนวนมากในภาคใต้ โดยวิธีการที่โหดร้ายต่างๆนาๆ เช่น การเผาไปทั้งเป็น การแขวนคอ และในปี1923ได้เกิดการระดมพลเพื่อกำจัดชาวอเมริกาผิวดำ ซึ่งในปัจจุบันลัทธินี้ก็ยังคงต่อต้านคนดำ และทรมาณคนดำอยู่ โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ การเดินขบวนต่อต้านประธานาธิปดีคนล่าสุดของอเมริกา นาย บารัค โอบาม่า
การกระทำที่โหดร้ายของลัทธิ
ในช่วงปี 1918-1927 เกิดการฆ่าแอฟริกันอเมริกา จำนวนมากในภาคใต้ โดยวิธีการที่โหดร้ายต่างๆนาๆ เช่น การเผาไปทั้งเป็น การแขวนคอ และในปี1923ได้เกิดการระดมพลเพื่อกำจัดชาวอเมริกาผิวดำ ซึ่งในปัจจุบันลัทธินี้ก็ยังคงต่อต้านคนดำ และทรมาณคนดำอยู่ โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ การเดินขบวนต่อต้านประธานาธิปดีคนล่าสุดของอเมริกา นาย บารัค โอบาม่า
การเผาคนดำทั้งเป็น
สัญลักษณ์ดั้งเดิมของลัทธิ คู คลัก แคน
ลัทธิที่ทั้งประหลาด และโหดร้าย คู คลัก แคน กลุ่มชาวอเมริกันผิวขาวได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อต่อต้านผู้คนผิวดำในอเมริกา ลัทธิประหลาดนี้เปิดตัวออกสู่โลกภายนอกในปี 1865 นับเป็นเวลา เกือบ 150 ปี ที่ลัทธินี้เริ่มเข้าสู่อเมริกา พร้อมกับความโหดร้ายที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
การก่อตั้ง
ลัทธิ คู คลัก แคน ก่อตั้งในวันที่ 3 มีนาคม 1865 โดยสภาคองเกรสของอเมริกา และในปี 1867 ก็ได้เลือกแกรนวิซาร์ดคนแรก คือ นาธาน เบ็ดฟอร์ด ฟอเรส เป็นแกรนวิซาร์ดคนแรก สาขาแรกของลัทธิ คู คลัก แคน ได้ก่อตั้งขึ้นใน รัฐเทนเนสซี ใน พฤษภาคม 1866
นาธาน เบ็ดฟอร์ด ฟอเรส
สมาชิกของลัทธิ
คู คลัก แตน แบ่งออกเป็น 3 ช่วง
- ช่วงที่ 1 นั้น อยู่ในปี 1865-1870 มีผู้นำได้แก่ แกรนวิซาร์ด นาธาน เบ็ดฟอร์ด ฟอเรส และมีสมาชิกของลัทธิประมาณ 550,000 คน
- ช่วงที่ 2 นั้น อยู่ในปี 1915- 1944 มีผู้นำได้แก่ แกรนวิซาร์ด วิลเลียมส์ ยูซุฟ ซิมมอนส์ และมีสมาชิกของลัทธิประมาณ 4,000,000 คน
- ช่วงที่ 3 นั้น อยู่ในปี 1946 ถึง ปัจจุบัน มีผู้นำหลายคน แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงได้แก่ เดวิด เออร์เนส ดุ๊ก และมีสมาชิกของลัทธิประมาณ 10ล้านคน
การกระทำที่โหดร้ายของลัทธิ
ในช่วงปี 1918-1927 เกิดการฆ่าแอฟริกันอเมริกา จำนวนมากในภาคใต้ โดยวิธีการที่โหดร้ายต่างๆนาๆ เช่น การเผาไปทั้งเป็น การแขวนคอ และในปี1923ได้เกิดการระดมพลเพื่อกำจัดชาวอเมริกาผิวดำ ซึ่งในปัจจุบันลัทธินี้ก็ยังคงต่อต้านคนดำ และทรมาณคนดำอยู่ โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ การเดินขบวนต่อต้านประธานาธิปดีคนล่าสุดของอเมริกา นาย บารัค โอบาม่า
การกระทำที่โหดร้ายของลัทธิ
ในช่วงปี 1918-1927 เกิดการฆ่าแอฟริกันอเมริกา จำนวนมากในภาคใต้ โดยวิธีการที่โหดร้ายต่างๆนาๆ เช่น การเผาไปทั้งเป็น การแขวนคอ และในปี1923ได้เกิดการระดมพลเพื่อกำจัดชาวอเมริกาผิวดำ ซึ่งในปัจจุบันลัทธินี้ก็ยังคงต่อต้านคนดำ และทรมาณคนดำอยู่ โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ การเดินขบวนต่อต้านประธานาธิปดีคนล่าสุดของอเมริกา นาย บารัค โอบาม่า
การเผาคนดำทั้งเป็น
สัญลักษณ์ดั้งเดิมของลัทธิ คู คลัก แคน
โคลอสเซียม สนามกีฬาโรมัน แห่ง โรม ( Roman Colosseum )
สนามกีฬาโคลอสเซียม (ประเทศอิตาลี) - The Colosseum หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ขของโลกที่ได้รับการคัดเลือกจาก องค์กร New 7 Wonders
ถูกสร้างขึ้น ทางทิศตะวันออกของ โรมันฟอรัม ( Roman Forum ) บริเวณใจกลาง กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ทำการก่อสร้างใน คริสต์ศตวรรษที่ 1 ประมาณในช่วงระหว่าง คริศต์ศักราช 70 ในรัฐสมัยของจักรพรรดิเวสเปเซียน ( Titus Flavius Vespasianus )
ทำการก่อสร้างแล้วเเสร็จใน คริศต์ศักราช 80 ในรัฐสมัยของจักรพรรดิไททัส ( Titus Flavius Vespasianus II)
มีการแก้ไขในในช่วงระหว่างคริสต์ศักราช 81-96 ในรัชสมัยของจักรพรรดิโดมิเทียนัส (Titus Flavius Domitianus )
ลักษณะการก่อสร้าง เป็นสนามกีฬากลางแจ้ง เป็นรูปไข่ ส่วนที่ยาวที่สุดยาว 189 เมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 156 เมตร
โคลอสเซียมมีความสูง 48 เมตร
โคลอสเซียมมีเส้นรอบวงประมาณ 548 เมตร
บริเวณฐานตั้งอยู่บนพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร
บริเวณตรงกลางเป็นลานประลอง รูปไข่ ที่ยาวที่สุดยาว 87.5 เมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 54.9 เมตร โดยรอบลานประลองมีกำแพงสูง 4.6 เมตร เหนือขึ้นไปเป็นที่นั่งชมการประลองโดยรอบ
โคลอสเซียม สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน
สนามกีฬาโคลอสเซียม (ประเทศอิตาลี) - The Colosseum
โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum หรือ Flavian Amphitheatre; อิตาลี: Colosseo - โคลอสโซ) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน
แต่เดิม สัญลักษณ์ของกรุงโรมแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ?ฟลาเวียน แอมพิเธียเตอร์? ตามนามสกุลของจักรพรรดิผู้ให้การสนับสนุนการก่อสร้าง โดยนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมาในสมัยอาณาจักรโรมัน ครั้นเมื่อเสร็จสมบูรณ์ โคลอสเซี่ยมได้ถูกใช้จัดการแข่งขันกลาดิเอเตอร์ การประหาร และการแสดงละครเกี่ยวกับทวยเทพเพื่อมอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม ปัจจุบัน สนามกีฬาโคลอสเซียมได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านโทษประหารชีวิต โดยโคลอสเซียมจะส่องสว่างด้วยสีเหลืองทุกครั้งที่มีการกลับคำตัดสินหรือยกเลิกโทษประหารชีวิตไม่ว่าจะที่ใดในโลก
ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum)
7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
ถูกสร้างขึ้น ทางทิศตะวันออกของ โรมันฟอรัม ( Roman Forum ) บริเวณใจกลาง กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ทำการก่อสร้างใน คริสต์ศตวรรษที่ 1 ประมาณในช่วงระหว่าง คริศต์ศักราช 70 ในรัฐสมัยของจักรพรรดิเวสเปเซียน ( Titus Flavius Vespasianus )
ทำการก่อสร้างแล้วเเสร็จใน คริศต์ศักราช 80 ในรัฐสมัยของจักรพรรดิไททัส ( Titus Flavius Vespasianus II)
มีการแก้ไขในในช่วงระหว่างคริสต์ศักราช 81-96 ในรัชสมัยของจักรพรรดิโดมิเทียนัส (Titus Flavius Domitianus )
ลักษณะการก่อสร้าง เป็นสนามกีฬากลางแจ้ง เป็นรูปไข่ ส่วนที่ยาวที่สุดยาว 189 เมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 156 เมตร
โคลอสเซียมมีความสูง 48 เมตร
โคลอสเซียมมีเส้นรอบวงประมาณ 548 เมตร
บริเวณฐานตั้งอยู่บนพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร
บริเวณตรงกลางเป็นลานประลอง รูปไข่ ที่ยาวที่สุดยาว 87.5 เมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 54.9 เมตร โดยรอบลานประลองมีกำแพงสูง 4.6 เมตร เหนือขึ้นไปเป็นที่นั่งชมการประลองโดยรอบ
โคลอสเซียม สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน
สนามกีฬาโคลอสเซียม (ประเทศอิตาลี) - The Colosseum
โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum หรือ Flavian Amphitheatre; อิตาลี: Colosseo - โคลอสโซ) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน
แต่เดิม สัญลักษณ์ของกรุงโรมแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ?ฟลาเวียน แอมพิเธียเตอร์? ตามนามสกุลของจักรพรรดิผู้ให้การสนับสนุนการก่อสร้าง โดยนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมาในสมัยอาณาจักรโรมัน ครั้นเมื่อเสร็จสมบูรณ์ โคลอสเซี่ยมได้ถูกใช้จัดการแข่งขันกลาดิเอเตอร์ การประหาร และการแสดงละครเกี่ยวกับทวยเทพเพื่อมอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม ปัจจุบัน สนามกีฬาโคลอสเซียมได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านโทษประหารชีวิต โดยโคลอสเซียมจะส่องสว่างด้วยสีเหลืองทุกครั้งที่มีการกลับคำตัดสินหรือยกเลิกโทษประหารชีวิตไม่ว่าจะที่ใดในโลก
ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum)
7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
Happy Halloween Days
Halloween (also spelled Hallowe'en) is an annual holiday celebrated on October 31. It has roots in the Celtic festival of Samhain and the Christian holy day of All Saints. It is largely a secular celebration but some have expressed strong feelings about perceived religious overtones.Irish immigrants carried versions of the tradition to North America during Ireland's Great Famine of the 1840s.
The day is often associated with orange and black, and is strongly associated with symbols like the jack-o'-lantern. Halloween activities include trick-or-treating, wearing costumes and attending costume parties, ghost tours, bonfires, visiting haunted attractions, pranks, reading scary stories, and watching horror films.
History
Halloween has origins in the ancient Gaelic festival known as Samhain (pronounced sow-in or sau-an), which is dervied from Old Irish and means roughly "summer's end".A similar festival was held by the ancient Britons and is known as Calan Gaeaf (pronounced kalan-geyf). The festival of Samhain celebrates the end of the "lighter half" of the year and beginning of the "darker half", and is sometimes regarded as the "Celtic New Year".
The celebration has some elements of a festival of the dead. The ancient Gaels believed that the border between this world and the Otherworld became thin on Samhain, allowing spirits (both harmless and harmful) to pass through. The family's ancestors were honoured and invited home whilst harmful spirits were warded off. It is believed that the need to ward off harmful spirits led to the wearing of costumes and masks. Their purpose was to disguise oneself as a harmful spirit and thus avoid harm. In Scotland the spirits were impersonated by young men dressed in white with masked, veiled or blackened faces.
Samhain was also a time to take stock of food supplies and slaughter livestock for winter stores. Bonfires played a large part in the festivities. All other fires were doused and each home lit their hearth from the bonfire. The bones of slaughtered livestock were cast into its flames. Sometimes two bonfires would be built side-by-side, and people and their livestock would walk between them as a cleansing ritual.
Another common practise was divination, which often involved the use of food and drink
Origin of name
The term Halloween, originally spelled Hallowe’en, is shortened from All Hallows' Even – e'en is a shortening of even, which is a shortening of evening. This is ultimately dervied from the Old English Eallra Hālgena ǣfen.[11] It is now known as All Saints' Day.
A time of pagan festivities,Popes Gregory III (731–741) and Gregory IV (827–844) tried to supplant it with the Christian holiday (All Saints' Day) by moving it from May 13 to November 1.
In the 800s, the Church measured the day as starting at sunset, in accordance with the Florentine calendar. Although All Saints' Day is now considered to occur one day after Halloween, the two holidays were once celebrated on the same day.
Symbols
On All Hallows’ eve, the ancient Celts would place a skeleton on their window sill to represent the departed. Originating in Europe, these lanterns were first carved from a turnip or rutabaga. Believing that the head was the most powerful part of the body, containing the spirit and the knowledge, the Celts used the "head" of the vegetable to frighten off harmful spirits. Welsh, Irish and British myth are full of legends of the Brazen Head, which may be a folk memory of the widespread ancient Celtic practice of headhunting – the results of which were often nailed to a door lintel or brought to the fireside to speak their wisdom. The name jack-o'-lantern can be traced back to the Irish legend of Stingy Jack, a greedy, gambling, hard-drinking old farmer. He tricked the devil into climbing a tree and trapped him by carving a cross into the tree trunk. In revenge, the devil placed a curse on Jack, condemning him to forever wander the earth at night with the only light he had: a candle inside of a hollowed turnip. The carving of pumpkins is associated with Halloween in North America where pumpkins are both readily available and much larger- making them easier to carve than turnips. Many families that celebrate Halloween carve a pumpkin into a frightening or comical face and place it on their doorstep after dark. The American tradition of carving pumpkins preceded the Great Famine period of Irish immigration and was originally associated with harvest time in general, not becoming specifically associated with Halloween until the mid-to-late 1800s.
The imagery surrounding Halloween is largely a mix of the Halloween season itself, works of Gothic and horror literature, in particular novels Frankenstein and Dracula, and nearly a century of work from American filmmakers and graphic artists, and British Hammer Horror productions, also a rather commercialized take on the dark and mysterious. Halloween imagery tends to involve death, evil, the occult, magic, or mythical monsters. Traditional characters include the Devil, the Grim Reaper, ghosts, ghouls, demons, witches, pumpkin-men, goblins, vampires, werewolves, martians, zombies, mummies, pirates, skeletons, black cats, spiders, bats, owls, crows, and vultures.[
Particularly in America, symbolism is inspired by classic horror films (which contain fictional figures like Frankenstein's monster and The Mummy). Elements of the autumn season, such as pumpkins, corn husks, and scarecrows, are also prevalent. Homes are often decorated with these types of symbols around Halloween.
The two main colors associated with Halloween are orange and black.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)