Kim Phuc is Her Name
คิมฟุค คือใคร ก็ลองหลับตานึกย้อนไปตอนสงครามเวียดนามซีครับ มีภาพอยู่ภาพหนึ่งที่เผยแพร่-โด่งดังจนได้รับรางวัลระดับโลก หนังสือพิมพ์บ้านเราก็ยังเอามาลงหน้า 1 อยู่บ่อยๆ
แต่แล้ววันหนึ่งในปี พ.ศ.2539 คิมฟุคก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
การได้มาเผชิญหน้ากับบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง
หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ
พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า "ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจุบัน และอนาคต"
เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า "ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ"
คิมเข้าไปโอบกอดเขา แล้วตอบว่า "ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิมฟุคเล่าว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและทั้งใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
แต่แล้วเธอก็พบว่า สิ่งที่ทำร้ายเธอจริงๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดชังที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง 'ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้ สามารถฆ่าฉันได้'
เธอพยายามสวดมนต์ เพื่อให้ตัวเองให้อภัยแก่ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า 'หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด'
เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่า รอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารัก พูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำใจอย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา
คิมฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า 'ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตฉันก็ดีขึ้น'
บทเรียนของคิมฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้
บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่น นั้น ทำให้เธอเห็นคุณค่าของการให้อภัย
...จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย แล้วโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า...
หวังว่าทุกๆคนคงจะได้รับแง่คิดจากเรื่องนี้กันนะคะ และขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ นะคะ
คิมฟุค คือใคร ก็ลองหลับตานึกย้อนไปตอนสงครามเวียดนามซีครับ มีภาพอยู่ภาพหนึ่งที่เผยแพร่-โด่งดังจนได้รับรางวัลระดับโลก หนังสือพิมพ์บ้านเราก็ยังเอามาลงหน้า 1 อยู่บ่อยๆ
"คิมฟุค" คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้น ซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง 65%
เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 14 เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง 17 ครั้ง กว่าจะหายเป็นปกติ เธอยังโชคดี เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2515 เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 3ปีต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย
เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 14 เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง 17 ครั้ง กว่าจะหายเป็นปกติ เธอยังโชคดี เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2515 เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 3ปีต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย
แต่แล้ววันหนึ่งในปี พ.ศ.2539 คิมฟุคก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
การได้มาเผชิญหน้ากับบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง
หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ
พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า "ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจุบัน และอนาคต"
เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า "ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ"
คิมเข้าไปโอบกอดเขา แล้วตอบว่า "ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิมฟุคเล่าว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและทั้งใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
แต่แล้วเธอก็พบว่า สิ่งที่ทำร้ายเธอจริงๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดชังที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง 'ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้ สามารถฆ่าฉันได้'
เธอพยายามสวดมนต์ เพื่อให้ตัวเองให้อภัยแก่ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า 'หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด'
เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่า รอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารัก พูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำใจอย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา
คิมฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า 'ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตฉันก็ดีขึ้น'
บทเรียนของคิมฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้
บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่น นั้น ทำให้เธอเห็นคุณค่าของการให้อภัย
...จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย แล้วโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า...
หวังว่าทุกๆคนคงจะได้รับแง่คิดจากเรื่องนี้กันนะคะ และขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น