วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

'นิโคลัส โคเปอร์นิคัส' กบฏดาราศาสตร์ที่โลกลืม

เจ้าของทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ปีนี้เป็นปีที่มีความหมายต่อวงการดาราศาสตร์อย่างยิ่ง เนื่องจากสหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ ประกาศให้ ปี ค.ศ. 2009 เป็นปีแห่งดาราศาสตร์สากล หรือ International Year of Astronomy (IYA2009) โดยเป็นปีเฉลิมฉลองระดับโลกด้านดาราศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ และเชื่อว่าใครหลายคนคงไม่พลาดชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยเราเองสามารถมองเห็นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น และภายในระยะเวลา 2 ปีนี้ จะมีปรากฏการณ์สุริยุปราคาผ่านมาให้ชมถึง 3 ครั้ง สำหรับครั้งต่อไปคือวันที่ 22 ก.ค. 2552 ซึ่งเป็นวันที่สุริยุปราคาเต็มดวงนานที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21 และครั้งสุดท้ายคือวันที่ 15 ม.ค. 2553

ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกกันว่า "สุริยุปราคา" เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และโลก โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเงาของดวงจันทร์ทอดมายังโลก คนที่อยู่บนโลกก็จะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าบดบังดวงอาทิตย์ และแสงของดวงอาทิตย์บางส่วนก็ถูกบดบังไปยังดวงจันทร์

เมื่อ 400 ปีที่กาลิเลโอสำรวจท้องฟ้าครั้งแรกผ่านทางกล้องโทรทรรศน์ ในครั้งนั้นเขาสามารถมองเห็นดาวดวงเล็กๆ มากมายที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากนั้นยังเห็นดาวบริวารของดาวพฤหัส ภูเขาและหลุมบนดวงจันทร์ ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติแนวความคิดเกี่ยวกับตำแหน่งของโลกในจักรวาลของคนในยุคนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ากาลิเลโอไม่ใช่นักปฏิวัติด้านดาราศาสตร์คนแรก หากยังมีกบฏดาราศาสตร์อีกคนหนึ่งที่โลกลืม นั่นคือ "นิโคลัส โคเปอร์นิคัส" เขาได้เสนอทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีของอริสโตเติล, ปโตเลมี และกาลิเลโอ โดยสิ้นเชิง

"นิโคลัส โคเปอร์นิคัส" นักดาราศาสตร์, แพทย์, นักกฎหมาย และพระนิกายคาทอลิกชาวโปแลนด์ ผู้บุกเบิกและปฏิวัติแนวความคิดว่า "ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล" โลกรวมทั้งดาวเคราะห์อื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทฤษฎีดังกล่าวขัดแย้งกับแนวคิดหลักที่มีมานมนานว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามหลักของอริสโตเติลซึ่งตรงกับความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก เพราะฉะนั้นโลกจึงเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และเมื่อโคเปอร์นิคัสเสนอแนวคิดดังกล่าว ทำให้คริสตจักรต้องออกกฎว่าเป็นแนวคิดต้องห้ามเพราะขัดแย้งกับการตีความตามพระคัมภีร์ โคเปอร์นิคัส ถูกจับตามองทั้งจากคนในศาสนจักรและคนภายนอกในฐานะบุคคลนอกรีต

จนกระทั่งโคเปอร์นิคัสเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1543 ผลงานเล่มนี้จึงเผยแพร่ออกมาครั้งแรกในชื่อ "De Revolutionibus Orbrium Codestium การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า" ไม่นานนักหนังสือเล่มนี้ต้องตกอยู่ในฐานะหนังสือต้องห้าม เมื่อมีชายเคราะห์ร้ายคนหนึ่งต้องโทษประหารชีวิตเนื่องจากมีหนังสือเล่มนี้ในครอบครอง หนังสือที่เหลือบางส่วนถูกนำไปเผาและทำลายทิ้ง หลายศตวรรษผ่านไปหนังสือเล่มนี้ก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จนกล่าวได้ว่า "หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ไม่มีใครอ่าน" นอกจากปัญญาชนหัวก้าวหน้าไม่กี่คน

เพื่อรำลึกและเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีที่กาลิเลโอสำรวจท้องฟ้าครั้งแรกผ่านทางกล้องโทรทัศน์ สำนักพิมพ์มติชนได้จัดพิมพ์หนังสือ "The Book Nobody Read" หรือ "โคเปอร์นิคัส ผู้ปฏิวัติดาราศาสตร์" แปลเป็นภาษาไทยโดย "นรา สุภัคโรจน์" ถ่ายทอดเรื่องราวของโคเปอร์นิคัส และหนังสือของเขาเกี่ยวกับการปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า ซึ่งปัจจุบันเป็นหนังสือหายากและมีราคาตั้งแต่ 5,000 ดอลลาร์ขึ้นไป (ก่อนหน้านี้มีผลงานแปลที่ได้รับความนิยมมากมาย อาทิ ผู้ชายที่หลงรักตัวเลข, รามานุจัน, ฟายน์แมน อัจฉริยะโลกฟิสิกส์ ฯ)

หนังสือ "The Book Nobody Read" หรือ "โคเปอร์นิคัส ผู้ปฏิวัติดาราศาสตร์" วางแผงครั้งแรกในงานสัปดาห์หนังสือระดับชาติ 26 มี.ค. - 6 เม.ย. 2552 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูธจำหน่ายหนังสือของมติชน

"The Book Nobody Read" หรือ "โคเปอร์นิคัส ผู้ปฏิวัติดาราศาสตร์" นำเสนอเรื่องราวสารคดีกึ่งอัตชีวประวัติ ว่าด้วยเรื่องราวการตามหาหนังสือ De Revolutionibus Orbrium Codestium หนังสือที่เขียนโดยนิโคลัส โคเปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ในสตวรรษที่ 16 ซึ่งปฏิวัติความเชื่อในแวดวงวิทยาศาสตร์ที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางและดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก เปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางและโลกรวมทั้งดาวเคราะห์อื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ ไม่เพียงเท่านี้เนื้อหาในเล่มยังสอดแทรกด้วยบรรยากาศการถกเถียงระหว่างความเชื่อสมัยเก่าและปัจจุบัน...

หลายศตรรษผ่านมา "โอเวน กิงเกอร์ริช" นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้ศึกษาเรื่องราวของโคเปอร์นิคัสโดยละเอียด และพบว่าแท้ที่จริงนักดาราศาสตร์รวมทั้งคนดังหลายคนในประวัติศาสตร์ได้เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาแล้ว พิสูจน์ได้จากหลักฐานชิ้นสำคัญคือบันทึกความคิดเห็นที่เขาเหล่านั้นบันทึกไว้โดยละเอียด อาทิ อิรัสมุน, ไรน์โฮลด์, โยฮันเนส เคปเลอร์, กาลิเลโอ กาลิเลอิ ฯ ทำให้เห็นว่าแนวคิดของโคเปอร์นิคัสได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นข้อพิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอย่างแท้จริง

หากไม่มีชายผู้ถูกขนานนามในฐานะบุคคลนอกรีตที่ชื่อว่า "นิโคลัส โคเปอร์นิคัส" วงการดาราศาสตร์อาจถูกปิดหูปิดตาไปอีกนาน นับได้ว่าโคเปอร์นิคัสคือผู้ปฏิวัติวงการดาราศาสตร์สมัยใหม่อย่างแท้จริง
นอกจากเรื่องราวชีวิตของโคเปอร์นิคัสแล้ว สำนักพิมพ์มติชนยังมีหนังสือในชุดชีวิตบุคคลน่ารู้ เจาะลึกชีวิตส่วนตัวไว้ของบุคคลต่างๆมากมาย อาทิ แฟ้มลับ FBI ล่าไอน์สไตน์, ผู้ชายที่หลงรักตัวเลข, รามานุจัน อัจฉริยะไม่รู้จบ, บารัค โอบามา, ฟายน์แมน อัจฉริยะโลกฟิสิกส์,เลโอนาร์โด ดาวินชี วิถีอัจฉริยะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น